อยู่อย่างรับความจริงเถอะทายท้าวิชามาร
การเดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ 10 นาทีของนายกรัฐมนตรีที่สหประชาชาติ รู้กันตั้งแต่ในมุ้งว่าจะถูกประท้วงจากคนไทยและคนต่างชาติที่คัดค้านรัฐประหาร ขณะที่คนไทยอีกฝั่งซึ่งไปทำมาหากินในประเทศประชาธิปไตยแต่เลื่อมใส คสช.ก็คงออกมาให้กำลังใจท่านเช่นกัน
การเดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ 10 นาทีของนายกรัฐมนตรีที่สหประชาชาติ รู้กันตั้งแต่ในมุ้งว่าจะถูกประท้วงจากคนไทยและคนต่างชาติที่คัดค้านรัฐประหาร ขณะที่คนไทยอีกฝั่งซึ่งไปทำมาหากินในประเทศประชาธิปไตยแต่เลื่อมใส คสช.ก็คงออกมาให้กำลังใจท่านเช่นกัน
นี่เป็นเรื่องธรรมดา มิใช่ปรากฏการณ์ประหลาดอันใด ยิ่งเรียกใครต่อใครไปกักตัว 3 วัน 7 วันก็ยิ่งเร้าบรรยากาศประท้วงให้ครึกครื้น เรื่องประหลาดคือเมืองไทยต่างหากอยากให้ชาวโลกยอมรับรัฐประหาร ยอมรับการเรียกคนไป “ปรับทัศนคติ” ครั้นพอ Human Rights Watch วิจารณ์ก็ตอบโต้ว่า “ทำเพื่อตัวเอง” ซึ่งคงใช่อยู่หรอก เพราะชื่อองค์กร Human Rights บอกอยู่ว่าทำงานด้าน “สิทธิมนุษยชน” ขืนไม่วิจารณ์ก็ปิดองค์กรไปเลี้ยงเป็ดดีกว่า
ปีกว่าผ่านไป ไม่รู้เดือดร้อนอะไรนักหนา ฝรั่งก็ยังทำมาค้าขาย มาดอนน่าก็จะมาทัวร์คอนเสิร์ตเมืองไทย นายกฯ ก็ยังได้ไป UN เพียงแต่ยังไงฝรั่ง (รวมทั้งคนไทยอีกไม่น้อย) ก็ไม่ยอมรับว่ารัฐประหารเป็นวิถีทางที่ถูกต้อง ไม่เชื่อว่าเป็นวิธีนำสังคมกลับสู่สันติ แต่ใครมีอำนาจและบอกว่าปรารถนาดีก็ทำไป อย่ามุ่งหวังให้ชาวโลกเห็นด้วยแซ่ซ้อง
ลึกลงไป ชนชั้นนำไทย ทหาร ข้าราชการ นักธุรกิจ คนระดับบนคนมั่งมี ล้วน “แคร์ฝรั่ง” ทั้งที่ปากด่าทอและบอกจะหันไปคบจีน (แต่ค่าก่อสร้างรางรถไฟสายมิตรภาพก็พุ่งสูง ดอกเบี้ยสูงอีกต่างหาก) ไม่น่าแปลกใจ เพราะทหารไทยยังอยากไปเรียนอเมริกา ไฮโซยังชอบเที่ยวยุโรป ส่งลูกไปเรียนอังกฤษมากกว่าเซี่ยงไฮ้ เช่นเดียวกับในประเทศก็อยากให้คนนิยม ชื่นชม รักใคร่ แต่ไม่รู้ยังไง อยากให้คนรักด้วยการใช้อำนาจ
ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าได้อำนาจมาด้วยวิธีไหน ต้องยอมรับความจริงว่ายังไงก็ต้องอยู่กับคนเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ไม่ว่าวันนี้วันหน้า ไม่ว่ามีอำนาจหมดอำนาจ ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อมีอำนาจต้องใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ให้ย้อนเข้าตัวในภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อบอกว่าเข้ามายึดอำนาจด้วยความจำเป็นก็ต้องใช้อำนาจเท่าที่จำเป็นและลงจากอำนาจให้เร็วที่สุด
ฉะนั้นที่รัฐบาล คสช.พูดว่าจะลดโรดแมปให้เร็วที่สุด จึงมาถูกทางแล้ว แต่ต้องทำให้เห็นจริงด้วย เพราะสูตร 6-4 6-4 ที่พูดกัน ถ้าเอาจริงลดให้สั้นลงได้ 6-9 เดือนด้วยซ้ำ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องใช้เวลา 6 เดือน ขอเพียงหาฉันทามติเบื้องต้นว่าสังคมต้องการอะไร การทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็ยิ่งไม่จำเป็นเพราะถ้ามีแนวคิดชัดเจนในกฎหมายแม่ การเขียนกฎหมายลูกใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ
ปัญหาจึงอยู่ที่การร่างรัฐธรรมนูญนั่นแหละ ว่าจะยอมรับความจริงไหม ทำอย่างไรคนไทยก็เห็นต่างกัน ถ้าเขียนกฎกติกามาบังคับกดดัน วางกลไกอำนาจสกัดกั้นนักการเมืองจากเลือกตั้งในรูปแบบที่ประชาชนไม่ยอมรับ ก็คือสร้างกับดักความขัดแย้ง ที่จะระเบิดย้อนมาเข้าตัวในภายหลัง
การเมืองไทยวันนี้ต้องการกติกาเพียงง่ายๆ ให้คนเห็นต่าง 2 ฝ่ายขัดแย้งกันและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เสียงข้างมากเป็นรัฐบาล แต่เสียงข้างน้อยก็มีสิทธิเสียงจะทัดทานการตัดสินใจการใช้อำนาจเรื่องต่างๆ ต่อสู้ทางการเมืองกันอย่างยุติธรรม ไม่มีอำนาจใดหนุนหลัง
ถ้าไม่ยอมรับความจริง วางกฎกติกาบนพื้นฐานความเป็นจริง ทำอย่างไรประเทศก็ไม่สงบ
ใบตองแห้ง