ผลพวงการคิดช้าทำช้าและคิดผิด
โควิดรอบ 3 จากย่านบันเทิง ”กลุ่มทองหล่อ คลัสเตอร์” ทำเอาฝันสลาย ที่ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและบริการทั่วประเทศ จะได้รับชดเชยความแร้นแค้นแสนสาหัสจากเทศกาลสงกรานต์ ต้องมีอันสูญสลายมลายสิ้นลง
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
โควิดรอบ 3 จากย่านบันเทิง ”กลุ่มทองหล่อ คลัสเตอร์” ทำเอาฝันสลาย ที่ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและบริการทั่วประเทศ จะได้รับชดเชยความแร้นแค้นแสนสาหัสจากเทศกาลสงกรานต์ ต้องมีอันสูญสลายมลายสิ้นลง
การกอบกู้เศรษฐกิจฐานรากควบคู่ไปกับการทำสงครามป้องกันโควิด มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายเลย ยิ่งมาเจอกับการบริหารแผนการสาธารณสุขที่ผิดทิศผิดทาง ก็ยิ่งไปกันใหญ่ “เอาไม่อยู่”
สัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนบทความเรื่อง “วัคซีน (ไทย) หวานเย็น” ที่เน้นย้ำในเรื่องของการ “คิดผิด” ที่ฝากความหวังไว้กับวัคซีนแอสตราเซเนกา เพียงแค่ตัวเดียว ทำให้ล่าช้าและไม่กระจายความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
นอกจากนั้นก็ยังแสดงความกังขาถึงความสามารถในการฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข ให้ทันกับแผนการเปิดประเทศ โดยมีตัวเลขยืนยันผลงานจริง 1 เดือน ฉีดไปได้เพียง 1.54 แสนโดสเอง
แล้วจะไปให้ทันกับราคาคุยที่จะฉีดให้ได้เดือนละ 7 ล้านโดสหรือ 10 ล้านโดสได้อย่างไร
พร้อมกับตบท้ายบทความว่า “อย่ามัวแกว่งปากเสียเวลานักเลย เอาเวลามาคิดปรับระบบฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง และหนีให้ทันวัคซีนหมดอายุ ยังจะดีเสียกว่า”
ก็ได้รับการคำรามกลับมาจาก “แม่ทัพโควิด” ผู้รับผิดชอบด้านการสาธารณสุขของประเทศว่า เป็นบทความที่เขียนจากคนประเภท “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน”
ปราศจากความรอบรู้ ห่างไกลข้อมูล มีอคติ เพียงแต่มีปากกาติดมือ ไม่เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของประเทศ น่าเสียใจจริง ๆ
เอ๊ะ! ในทางส่วนตัว ผมก็ไม่ได้โกรธเคืองกับคำพูดอะไรประเภทนี้นักหรอก ยังภาวนาในใจ ขอให้คำทำนายของผม “ไม่เป็นจริง” ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ผมถามน่ะ ผมก็มั่นใจว่าเป็นคำถามแทนประชาชน ที่มีความสงสัยข้องใจเช่นกัน ก็น่าจะได้รับคำชี้แจงโดยดีเช่นกัน
ไม่ใช่คำชี้แจงเยี่ยง “อาเสี่ย ลูกเศรษฐี” เช่นนี้
วันนี้ ผมก็เลยขอนำเสนอข้อมูลจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และการประมวลข้อมูลโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่สรุปถึงการใช้วัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก รายทวีป รายภูมิภาค รวมทั้งประเทศไทยว่า ชาติใดคิดเร็วทำเร็ว หรือคิดช้าทำช้ามาเปรียบเทียบให้เห็นกัน
ข้อมูล ณ วันที่ 6 เม.ย.2564 มีการฉีดวัคซีนทั่วโลกไปแล้ว 675 ล้านโดส ใน 155 ประเทศ และมีอัตราการฉีดวัคซีนเฉลี่ย 16.2 ล้านโดสต่อวัน
ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด อันดับ 1 สหรัฐอมริกา จำนวน 167.19 ล้านโดส ครอบคลุมประชากร ร้อยละ 25.8
อันดับ 2 จีน จำนวน 139.97 ล้านโดส ครอบคลุมประชากร ร้อยละ 5 อันดับ 3 สหภาพยุโรป 80.26 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรร้อยละ 9 อันดับ 4 อินเดีย 79.11 ล้านโดส ครอบคลุมประชากร ร้อยละ 2.9 อันดับ 5 สหราชอาณาจักร 37.01 ล้านโดส ครอบคลุมประชากร ร้อยละ 27.7
โดยมีอินโดนีเซีย (หนึ่งเดียวในอาเซียน) อยู่อันดับ 9 จำนวน 13.09 ล้านโดส ครอบคลุมประชากร ร้อยละ 2.5
ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วต่อประชากรสูงสุด อันดับ 1 ยิบรอลตาร์ ร้อยละ 89.6 ของจำนวนประชากร อันดับ 2 อิสราเอล ร้อยละ 55.9 ของจำนวนประชากร อันดับ 3 เซเชลส์ ร้อยละ 53.2 ของจำนวนประชากร อันดับ 4 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ร้อยละ 40 ของจำนวนประชากร อันดับ 5 หมู่เกาะเคย์แมน ร้อยละ 39 ของจำนวนประชากร
หนึ่งเดียวในเอเชีย ติดอันดับ 9 คือ ภูฏาน ร้อยละ 31.4 ของจำนวนประชากร
ขณะที่ภูมิภาคอาเซียน มีการฉีดวัคซีนแล้ว 17,992,376 โดส ใน 9 ประเทศ ได้แก่ อันดับ 1 สิงคโปร์ 1,518,000 โดส ครอบคลุมประชากร 13.3% อันดับ 2 อินโดนีเซีย 13,087,173 โดส ครอบคลุมประชากร 2.5% อันดับ 3 พม่า 1,040,000 โดส ครอบคลุมประชากร 1% อันดับ 4 กัมพูชา 418,569 โดส ครอบคลุมประชากร 1.3% อันดับ 5 มาเลเซีย 801,773 โดส ครอบคลุมประชากร 1.2%
อันดับ 6 ไทย 294,881 โดส ครอบคลุมประชากร 0.4% อันดับ 7 ฟิลิปปินส์ 738,913 โดส ครอบคลุมประชากร 0.3% อันดับ 8 เวียดนาม 52,335 โดส ครอบคลุมประชากร ต่ำกว่า 0.1% อันดับ 9 สปป.ลาว 40,732 โดส ครอบคลุมประชากร 0.3%
จากตัวเลขที่ออกมา คงไม่ต้องมานั่งสาธยายอะไรกันให้มากความ..เพราะมันคือผลพวงจาก “คิดช้าทำช้าและคิดผิด” นั่นเอง..!!