พาราสาวะถีอรชุน

ถูกปล่อยตัวออกมาหมดทุกคนทั้ง พิชัย นริพทะพันธุ์, การุณ โหสกุล และ ประวิตร โรจนพฤกษ์ หลังจากถูกเรียกไปปรับทัศนคติ กินนอนในค่ายทหารซึ่งไม่มีใครรู้ว่าคือที่ไหน รายของเสี่ยแดงนั้นประกาศผ่านเฟซบุ๊คมาแล้วว่า สถานการณ์ไม่ปกติของดวิจารณ์เรื่องเศรษฐกิจ-การเมืองไว้ชั่วคราว ขณะที่เจ้าเก่งหลังกลับถึงบ้าน พิมพ์ชนา โหสกุล ศรีภรรยาก็โพสต์รูปขึ้นเฟซบุ๊คกำลังเล่นกับหมาคู่ใจ


 ถูกปล่อยตัวออกมาหมดทุกคนทั้ง พิชัย นริพทะพันธุ์, การุณ โหสกุล และ ประวิตร โรจนพฤกษ์ หลังจากถูกเรียกไปปรับทัศนคติ กินนอนในค่ายทหารซึ่งไม่มีใครรู้ว่าคือที่ไหน รายของเสี่ยแดงนั้นประกาศผ่านเฟซบุ๊คมาแล้วว่า สถานการณ์ไม่ปกติของดวิจารณ์เรื่องเศรษฐกิจ-การเมืองไว้ชั่วคราว ขณะที่เจ้าเก่งหลังกลับถึงบ้าน พิมพ์ชนา โหสกุล ศรีภรรยาก็โพสต์รูปขึ้นเฟซบุ๊คกำลังเล่นกับหมาคู่ใจ

ขณะที่ประวิตรให้สัมภาษณ์ว่า ถูกปล่อยตัวตั้งแต่สี่โมงเย็น จากกองทัพภาคที่ 1 โดยระหว่างถูกคุมตัวไม่สามารถติดต่อใครได้และไม่ทราบว่าถูกนำตัวไปที่ใด ทั้งนี้ ได้รับการปฏิบัติต่างจากคราวที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนที่ถูกเรียกเพราะข้อความในทวิตเตอร์ของตนเองเกี่ยวกับความชอบธรรมของหัวหน้าคสช. และอีกข้อความเกี่ยวกับการแต่งตั้งเลขาฯสมช. ซึ่งได้ปฏิเสธไปว่าไม่ใช่ข้อความของตนเอง

ดูจากอาการเกร็งของผู้ที่ถูกเรียกไปปรับทัศนคติแล้ว ต้องยอมรับกันว่าเที่ยวนี้คงถูก“จัดหนัก” แต่ไม่ได้หมายถึงการทำร้ายร่างกาย น่าจะเป็นเรื่องของการกดดันโดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น ถอดรหัสได้จากคำให้สัมภาษณ์ของประวิตรที่บอกว่า  ได้รับการแจ้งว่ามีการแจ้งความ โดยเจ้าหน้าที่ทหารบอกว่าหากยังละเมิดข้อตกลงกับคสช. จะดำเนินการตามกฎหมาย โดยไม่ได้บอกรายละเอียดและข้อหาดังกล่าวมีอายุความ 15 ปี

สถานการณ์ยามนี้หลังจากที่ร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจจะเข้มงวดกวดขันและใช้มาตรขาดเด็ดขาดเหมือนหลังการทำรัฐประหารใหม่ๆ ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะได้รับรายงานถึงแรงกระเพื่อมที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและคสช.หรืออย่างไร จึงต้องใช้วิธีการตีหน้ายักษ์ กระทืบเท้า ให้คู่ต่อสู้หวั่นไหว

แต่คงลืมไปว่า ถ้าเป็นมวยใหม่ประเภทใจปลาซิว วิธีการโชว์ความเก๋านั้นอาจจะได้ผล ในทางตรงข้ามหากเป็นมวยประเภทเจนเวทีมาเหมือนกัน ย่อมไม่เกรงกลัว มิหนำซ้ำ ยังจะแยกเขี้ยวเดินหน้าเข้าใส่เสียด้วยซ้ำไป หลายคนจึงแปลกใจว่าการเล่นบทนี้ของผู้มีอำนาจจะได้ผลหรือไม่ ในจังหวะที่การปฏิรูปประเทศและสร้างความปรองดองยังไม่ได้ก้าวเดินออกไปจากจุดเดิม

อย่างไรก็ตาม หากจับสัญญาณจากบิ๊กตู่ที่กล่าวตอนหนึ่งในการแถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยอ้างว่า “ในการสอนในตำราปริญญาโทเขาเขียนไว้อยู่แล้วว่าทุกประเทศในโลก ประชาธิปไตยดีที่สุด เมื่อใดที่ประชาธิปไตยมีความขัดแย้ง มีอำนาจแบบผมเท่านั้นล่ะถึงจะไปแก้ได้ จะบอกให้ ทั้งโลกเขาสรุปมาแล้ว

คงเป็นคำตอบของมาตรการเข้มข้นที่ดำเนินอยู่ในเวลานี้ แต่ทันทีที่ได้ยินคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าว เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว  แย้งถึงประชาธิปไตยกับความขัดแย้งในมุมของบิ๊กตู่ โดยระบุว่าด้วยความเคารพ ที่โครงการปริญญาเอกรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เราอธิบายเรื่องประชาธิปไตยกับความขัดแย้งแบบนี้

ประชาธิปไตยเป็นระบอบการเมืองที่เริ่มจากฐานคิดว่าสังคมแบ่งแยกกันและหาทางให้ความขัดแย้งแบ่งแยกนั้นดำเนินไปโดยสันติ หากมิใช่เริ่มจากฐานคิดว่าสังคมควรต้องสมานฉันท์เป็นเอกภาพ รู้รักสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว การสร้างเสริมประชาธิปไตยโดยเรียกร้องให้สังคมต้องไม่แบ่งแยกกันจึงผิดฝาผิดตัว

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่ล้มเหลวมักเกิดจากเหตุ 3 ประการคือ คู่ขัดแย้งทางการเมืองไม่มีฉันทามติร่วมกันเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานเรื่องกรอบ กฎกติกาของการดำเนินความขัดแย้ง เกิดสภาพแบ่งแยกเป็นเสียงข้างมากถาวร เสียงข้างน้อยถาวร อุดมการณ์อย่างตายตัว และเดิมพันได้เสียของคู่ต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่แค่อำนาจ แต่รวมถึงทรัพย์สินด้วย แบบนี้คู่ขัดแย้งมักออกนอกแถว ไม่ยอมรับที่จะเล่นการเมืองอยู่ในกฎกติกาเกมประชาธิปไตย

โดยคำพูดทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในการสัมมนาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 เป็นของ ดอกเตอร์มารีน่า อ็อตตาเวย์ ผู้อำนวยการโครงการตะวันออกกลางแห่งกองทุนสะสมคาร์เนกี้เพื่อสันติภาพสากล และยังสวมหมวกสมาชิกสมทบอาวุโสในโครงการประชาธิปไตยกับหลักนิติรัฐ ซึ่งวิเคราะห์สภาพประชาธิปไตยทั่วโลกและติดตามความพยายามของสหรัฐฯในการส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างใกล้ชิด

นอกจากนั้น ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องประชาธิปไตยและสภาพที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ภายหลังการแก้ไขความขัดแย้งลุล่วงไป ไม่รู้ว่าการออกมาของเกษียรจะทำให้ท่านผู้มีอำนาจเงี่ยหูฟังหรือจะตอบโต้อะไรหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ หลังจากอารมณ์ดีนัดสื่อประจำทำเนียบฯกินข้าวเที่ยงเมื่อวันวาน ได้ยินคำยืนยันจากบิ๊กตู่ว่า ถ้าทุกอย่างเดินตามโรดแมปคาดว่าจะเลือกตั้งได้ประมาณเดือนกรกฎาคม 2560

เป็นอันว่าเป็นไปตามระยะเวลาอยู่บริหารประเทศ 3 ปีตามที่ฤาษีเกวาลันทำนายไว้เป๊ะ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมกันว่าถ้าหากยึดตามโรดแมปเดิมตามที่มีการประกาศไว้หลังยึดอำนาจหมาดๆ จะต้องมีการเลือกตั้งในเดือนตุลาคมนี้แล้ว ซึ่งก็มีการเลื่อนโรดแมปกันมาอยู่เรื่อยๆ โดยอ้างเหตุต่างๆ นานา

ยิ่งได้ฟังท่านผู้นำตอกย้ำเรื่อง ไม่อยากอยู่ในอำนาจนาน เวลาที่ผ่านมาและกำลังทอดยาวออกไปตามสูตร 6-4 6-4 น่าจะเป็นบทพิสูจน์ได้ คงต้องท่องทฤษฎีตรงข้ามกันไว้ให้ขึ้นใจ เช่นเดียวกันกับการยืนยันว่า ไม่เป็นนายกฯคนนอกแน่นอน ใครเชิญก็ไม่ไป ขอให้เขียนแปะข้างฝากันไว้ เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ไปทวงคำสัญญาจากท่านได้ เพราะสัญญาแรกที่บอกว่า เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน มันก็ไม่เป็นไปตามนั้น เหลือแค่รอดูว่ามันจะนานแค่ 3 ปีหรือมากไปกว่านั้น

Back to top button