‘ลิเก’ อันตราย
“ลิเก” เกินไปหรือเปล่ากับฉากพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกทม. นำนายตำรวจระดับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไปแจ้งข้อหานายกรัฐมนตรีถึงทำเนียบรัฐบาล
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
“ลิเก” เกินไปหรือเปล่ากับฉากพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกทม. นำนายตำรวจระดับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไปแจ้งข้อหานายกรัฐมนตรีถึงทำเนียบรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ต้องหา ยอมรับแต่โดยดี จ่ายค่าปรับ 6,000 บาท โทษฐานไม่ใส่แมสก์ขณะเป็นประธานนั่งหัวโต๊ะประชุมเรื่องวัคซีนโควิด
ตัวนายกรัฐมนตรี นั่นก็เรื่องหนึ่งที่ระดับ “สามัญสำนึก” ค่อนข้างต่ำมาก เพราะนั่งกวาดสายตาออกไปจากหัวโต๊ะ มีแต่คนสวมหน้ากากสลอน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ยิ่งมีประกาศข้อห้ามกทม.ออกมาด้วยแล้ว ใยไม่นึกเฉลียวเอะใจบ้างเลยหรือไรว่า ตัวเองจะต้องไม่ทำอะไรผ่าเหล่าผ่ากอกว่าชาวบ้านเขา
ทีมงานนายกฯ เอง ก็ปล่อยปละละเลยให้นายกฯ ทำตัวตลกขายขี้หน้าบ่อย ๆ อยู่ได้อย่างไร
ฉากผู้ต้องหา VVIP ที่ยอมจ่ายค่าปรับ 6 พันบาท ดูไปแล้วก็ตลกดี จะมีการจ่ายจริงหรือจ่ายปลอม ๆ ก็คงไม่มีใครรู้ แต่ผู้วางสคริปท์บทนี้ ก็คงต้องการให้นายกฯ เป็น “พระเอก” เป็นต้นแบบในการเป็นผู้รักษากฎหมาย เมื่อผิดก็กล้ายอมรับผิดและมุ่งมั่นเอาจริงมากต่อการระงับยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด
ตรงนี้สิน่ากลัวมากครับ น่ากลัวว่าตำรวจจะอ้าง “บุคคลต้นแบบ” เที่ยวไล่จับชาวบ้านไปเสียค่าปรับ 6,000-20,000 บาท แต่นอกโรงพักอาจตกลงกันได้ด้วยอัตรา 500-1,000 บาท เข้าทางหมาต๋าไปสิครับ
โอกาสในการกวาดจับชาวบ้านนั้นง่ายดายจะตายไป ใครลืมแมสก์ไว้ที่บ้านหรือที่ทำงานไม่ได้เลย กระทั่งรู้ว่าลืมแล้ว จะไปหาแมสก์ที่ร้านเซเว่นใกล้เคียง ก็อาจถูกตำรวจปาดจับระหว่างทาง เหมือน “ซุ่มโป่ง” คอยจับผิดข้อหาจราจรอย่างไงอย่างงั้น
ขับรถ 2 คนผัวเมียหรือพ่วงลูกเข้าไปด้วยในรถคันเดียวกัน ก็ต้องใส่แมสก์ แต่กลับบ้านไป ก็ใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านโดยไม่ต้องใส่แมสก์ ผัวเมียก็นอนเตียงเดียวกันโดยไม่ต้องใส่แมสก์
ก็แล้ว ข้อปฏิบัติมันต่างกันตรงไหนล่ะ ระหว่างนอนเตียงกับนั่งรถ นี่มันกฎหมายบ้าบออะไรนี่!
ต่อไปนี้เป็นเรื่องบ้าบอจากทำเนียบรัฐบาลรวมด้วยกัน 2 เรื่อง ซึ่งก็เป็นผลติดพันมาจากความรุนแรงของโควิด ระบาดรอบ 3 และอาการเพี้ยนในระบบบริหารจัดการรับมือโควิด
นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 28 เม.ย. พาดหัวข่าวหน้า 1 ได้ “โดน” มาก แทบไม่ต้องไปตามอ่านในรายละเอียดอะไรเลย ผมขอคัดลอกมาดังนี้
ข่าวรองข่าวนำ “ฟันรมต.ปากเสีย นินทานายกฯ : กร้าวขู่ริบเก้าอี้คืน เมินปชป.เคืองแบ่งพื้นที่”
อ้าว! มีรัฐมนตรีแอบนินทานายกฯ ด้วย นายกฯ ก็รู้ชัดแจ้งเสียด้วยว่าใครนินทา เพราะมีทีมงานคอยติดตามเฟซบุ๊กของแต่ละท่าน ขอให้รู้ไว้ซะด้วยว่า นายกฯ ปกครองรัฐมนตรีของท่านแบบปกครองทหาร “ให้ฟังอย่างเดียว อย่าเถียง”
“อย่านินทาให้ผมได้ยิน ถ้าผมได้ยินอีก จำเป็นต้องปรับออก จะริบโควต้านั้นมาเป็นของผมเอง ระวังตัวไว้ด้วยละกัน”
เรื่องนี้ไม่น่ายินดีสักเท่าไหร่นะครับ สะท้อนอารมณ์นายกฯ ขณะนี้ ยังมีโทสะ-โมหะอยู่เพียบเลย น่าเป็นห่วงในเรื่องสมาธิในการทำงาน โดยเฉพาะในตอนนี้ ท่านยักย้ายอำนาจในการแก้ปัญหาโควิด จากรมต.คนอื่น ๆ มารวมศูนย์ไว้ในตัวท่านแต่เพียงผู้เดียว
อำนาจนั้นจะพาประชาชนคนไทย 66 ล้านคน ฝ่าวิกฤตโควิด ไปได้มากน้อยแค่ไหน
พาดหัวข่าวที่ 2 เป็นข่าวลีดข่าวนำหัวใหญ่ ต่อเนื่องกับพาดหัวข่าวที่ 1 เลย นั่นก็คือ “บิ๊กตู่ยึดเบ็ดเสร็จ 31 พรบ. ลุยแก้วิกฤตพิษโควิด”
ก็ถือว่าเป็นพาดหัวที่กระชับใจความสมบูรณ์แบบแทบไม่ต้องหาอ่านรายละเอียดเลยนะครับ เท่ากับเป็นการยืนยันคำพูดตัดพ้อหรือออกตัวก่อนหน้านี้ของอนุทิน ชาญวีรกูลที่ว่า ตนเองเป็นรมว.สาธารณสุข เป็นรองนายกฯ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชานายกฯ ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งนายกฯ และนโยบายนายกฯ มาโดยตลอด
ก็เป็นจริงตามนั้นแหละครับ นายกฯ บัญชาเกมสู้โควิดมาตลอดอยู่แล้ว อนุทินแค่ “พระรอง” พลอยพยัก
พอมาเจอนายกฯ รวบอำนาจ เอาพรบ. 31 ฉบับมารวมศูนย์ใต้อำนาจตัวเองเข้าให้อีก สาธารณชนก็เลยพากันงงเข้าไปใหญ่ เพราะนายกฯ ก็ “ซิงเกิล คอมมานด์” แต่ผู้เดียวอยู่แล้ว แถมยังมีพรก.ฉุกเฉินที่ให้อำนาจนายกฯ แต่ผู้เดียวเหลือล้น และใช้กันมาข้ามปีแล้ว
ใยจะมารวบ 31 พรบ.ซ้อนพรก.ฉุกเฉินฯ เป็นอำนาจซ้อนอำนาจกันอีก มันจะบ้าอำนาจไปถึงไหนกันเนี่ย!
ตั้งสติกันให้ดี ทางรอดจากวิกฤตโควิดคราวนี้คือ “วัคซีน” ปัญหาอื่นเป็นรองหมด นายกฯ เองก็ประกาศแล้วนี่ว่า จะต้องฉีดวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 ให้ได้ภายในปีนี้
ต้องฉีดวัคซีนให้ได้เฉลี่ยถึงวันละ 3-5 แสนโดส
แต่ความเป็นจริงตอนนี้ ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ณ 29 เม.ย. 2564 มันคือค่าเฉลี่ยแค่วันละ 22,043.37 โดสครับ (คิดจากยอดผู้รับวัคซีน 1,344,646 โดส รวม 61 วัน) ยังห่างไกลกับสัญญาประชาคมนายกฯ มากโขอยู่นะ
ตั้งใจหน่อย “ประยุทธ์” เป้าหมายหลักคือ “วัคซีน” อย่าว่อกแว่ก อย่าฟุ้งซ่าน และอย่าหมกมุ่นกับอำนาจราว “เด็กเล่นไม้ขีดไฟ” จนเสียการใหญ่