พาราสาวะถีอรชุน
ประสานเสียงค้านกันโดยไม่ได้นัดหมายทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ หลังจากได้ยิน วิษณุ เครืองาม พูดถึงกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง “ฉบับพิสดาร” ถึงขั้นที่จะต้องให้สองพรรคการเมืองใหญ่ต้องไปจดทะเบียนตั้งพรรคกันใหม่ อะไรมันจะขนาดนั้น ทั้งหมดทั้งมวลอ้างเพื่อความเท่าเทียมกันของทุกพรรคการเมือง
ประสานเสียงค้านกันโดยไม่ได้นัดหมายทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ หลังจากได้ยิน วิษณุ เครืองาม พูดถึงกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง “ฉบับพิสดาร” ถึงขั้นที่จะต้องให้สองพรรคการเมืองใหญ่ต้องไปจดทะเบียนตั้งพรรคกันใหม่ อะไรมันจะขนาดนั้น ทั้งหมดทั้งมวลอ้างเพื่อความเท่าเทียมกันของทุกพรรคการเมือง
ไม่รู้ว่าใช้สมองส่วนไหนคิด แต่ที่วิษณุเปิดข้อมูลมาเท่ากับเป็นการชี้นำไว้ล่วงหน้า ทั้งๆ ที่ยังหาตัวประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและกรรมร่างรัฐธรรมนูญหรือกรธ.ยังไม่ได้ การแสดงออกเช่นนี้ย่อมบ่งบอกสัญญาณของการวางทางอำนาจว่าด้วยการจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสืบทอดอำนาจไม่ต่างจากยุคประภาส-ถนอมและพรรคสามัคคีธรรมในยุครสช.
หากจะทำกันถึงขนาดนั้น ไม่บัญญัติกฎหมายไปเสียเลยว่า ห้ามสองพรรคการเมืองใหญ่มีสมาชิกเกินจำนวนเท่านั้นคน เพื่อที่จะได้จัดสรรปันส่วนแบ่งสมาชิกพรรคที่เหลือไปให้กับพรรคการเมืองเกิดใหม่ มันจะได้ยุติธรรมกันแบบสุดๆ พอมีเสียงคัดค้านออกมาประสาเนติบริกรก็รีบออกตัวตนพูดแค่ว่า“อาจจะ” ซึ่งสุดท้ายต้องให้รอดูว่าร่างรัฐธรรมนูญใหม่และกฎหมายลูกจะบัญญัติไว้อย่างไร
ไม่ว่าจะแก้ต่างอย่างไร แต่คนส่วนใหญ่ก็เชื่อไปแล้วว่า มีการตั้งธงวางพิมพ์เขียวไว้ล่วงหน้า ร่างรัฐธรรมนูญที่จะคลอดมาหน้าตาเป็นแบบไหน คงไม่ต่างจากฉบับที่ถูกคว่ำไปสักเท่าไหร่ เพราะแม้แต่กรณีนายกรัฐมนตรีคนนอก วันก่อน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็แพลมออกมาแล้วว่า ถึงจะบัญญัติให้มีนายกฯคนนอกก็ไม่รับตำแหน่ง
ไม่มีอะไรจะชัดแจ้งมากไปกว่านี้อีกแล้ว รวมไปถึงประเด็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติหรือคปป. แม้วิษณุจะแก้ตัวว่า ที่มีข่าวออกไปเป็นเพราะนักข่าวจับประเด็นผิด เหล่านี้คือตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน ความพยายามที่จะทำให้เป็นประชาธิปไตยแบบเผด็จการมันปกปิดกันไม่ได้ อยู่ที่ว่าจะทำคลอดมาให้เนียนอย่างไรเท่านั้นเอง
ถ้าจะแสดงความจริงใจและไม่ต้องกลัวเสียหน้า บิ๊กตู่คงต้องประกาศไว้แต่เนิ่นๆ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ห้ามบัญญัติเรื่องนายกฯคนนอก คปป.และบรรดาข้อบังคับทั้งหลายที่สะท้อนของการแย่งชิงอำนาจไปจากประชาชน ถ้าจะให้ดีคงต้องแสดงท่าทีที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวกันอีกกระทอก เพื่อปลดล็อกแนวทางการเขียนรัฐธรรมนูญในมาตรา 35 ที่มันไม่เป็นประชาธิปไตย
แต่ให้เดาใจคงจะเป็นไปเช่นนั้นยาก เพราะหนึ่งท่านผู้นำยังมั่นใจว่ากฎหมายพิเศษโดยเฉพาะมาตรา 44 จะเป็นยาวิเศษที่สามารถเอาชนะทุกสิ่งได้ รวมไปถึงหากมองถึงเสียงมวลชนที่จะเป็นฐานค้ำยันอำนาจ การให้โอกาส สุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงข่าวถึงสองครั้งสองหน บ่งบอกเจตนารมณ์ของผู้บริหารประเทศและฝ่ายความมั่นคงได้เป็นอย่างดี
ยิ่งล่าสุด มีกรณีของ “ตั๊น” จิตภัสร์ กฤดากร แกนนำกปปส.จะได้บรรจุเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรสังกัดกองบังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษหรือ 191 ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ จะหาเหตุหาผลอย่างไรมาอธิบายกับสังคมคงยากที่จะมีคนรับฟัง โดยเฉพาะกับข้ออ้างว่าต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านภาษาต่างประเทศเพื่อรองรับเออีซี
คำถามแบบเบสิกเลยก็คือ คนที่มีคุณสมบัติดังว่านั้นในประเทศไทยมีแค่แกนนำกปปส.รายนี้เท่านั้นหรือ คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว คงคิดว่าเมื่อมีอำนาจพิเศษหนุนหลังแล้วทำอะไรคงไม่มีใครกล้าหือ แต่คนแวดวงสีกากีโดยเฉพาะคนที่เขาปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลช่วงม็อบเทพเทือกยึดเมืองหลวง ถามว่า ตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านั้นถูกกระทำอย่างไรบ้าง
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่ย่ำยีหัวใจคนวงการตำรวจมากที่สุด คงเป็นกรณีการบุกไปทำลายป้ายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ทันทีเมื่อมีข่าวนี้ปรากฏขึ้น จะมีปฏิกิริยาจากตำรวจผ่านการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทันที ด้วยการผูกริบบิ้นดำทั้งบนเสาอากาศวิทยุสื่อสาร เสาอากาศรถยนต์และกระจกรถยนต์
สุดท้ายมีข่าวว่า น้องตั๊นเองก็หน้าบางยอมที่จะไปถอนชื่อจากการไปสมัครสอบดังกล่าวแล้ว ท่ามกลางความเสียดายของนายตำรวจใหญ่บางราย แต่ที่เสียใจสุดๆ คงเป็นคนใหญ่คนโตที่มีเมียเด็ก ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนให้แกนนำกปปส.รายนี้ไปเติบโตในสายงานสีกากี ต้องถาม พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ประกาศว่ารักผู้ใต้บังคับบัญชานักหนา จะยอมให้คนที่ทำลายตำรวจเข้ามาเป็นตำรวจอย่างนั้นหรือ
มีเสียงท้วงติงมาจากนักวิชาการกรณีสูตรพิสดารของวิษณุ โดย วิโรจน์ อาลี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มองว่า ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรนอกเหนือจากการถ่วงเวลาออกไปเท่านั้น รวมทั้งเปรยว่าเคยได้ยินวาทกรรม เพื่อไทยใหญ่เกินไปต้องทำให้เล็กลง ซึ่งในมุมมองส่วนตัวแล้วเห็นว่าพรรคมันไม่เกี่ยว น่าจะไปจัดที่เขตการเลือกตั้งให้มีความเป็นตัวแทนของประชาชนให้มากขึ้น
การพยายามสกัดกั้นพรรคการเมืองให้เล็กลงมันเป็นเรื่องตลก ถ้าไม่ไว้วางใจระบบการเลือกตั้ง ไม่ไว้ใจระบบพรรคการเมืองก็ยกเลิกไปเลย แล้วก็ประกาศไปเลยว่าต่อจากนี้ไปประเทศไทยไม่ต้องมีการเลือกตั้งแล้วจะใช้ระบบสรรหาร้อยเปอร์เซ็นต์
ให้ทหาร ให้ข้าราชการประจำ เป็นผู้ปกครองประเทศ ถ้าพูดตรงๆ แบบนี้จะง่ายกว่าที่จะมีความพยายามออกแบบการเมืองครึ่งลูกครึ่งคนแบบนี้ ความเห็นของอาจารย์วิโรจน์น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ปัญหาก็คือ บ้านนี้เมืองนี้ ผู้มีอำนาจต้องสร้างภาพโดยเฉพาะพวกที่ได้ชื่อว่าคนดีทั้งหลายแหล่ ต้องพยายามใส่หน้ากากประชาธิปไตยไว้หลอกชาวบ้านรวมถึงชาวโลกด้วย
ท่าทีของต่างชาติจะเป็นอย่างไรนั้น ให้รอดูการไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติของบิ๊กตู่ที่นิวยอร์คในช่วงปลายเดือนนี้ ประเด็นเรื่องม็อบหนุนม็อบต้านนั้นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว มีข่าวว่าให้จับตาดูท่วงทำนองของสหรัฐอเมริกาที่จะมีต่อผู้นำไทยแลนด์ ถ้าทุกอย่างเป็นไปแบบสงบราบเรียบหัวหน้าคสช.ก็สามารถกลับมาลุยงานต่างๆ ที่วางไว้ในประเทศได้แบบไม่ต้องสนหน้าอินทร์หน้าพรหมกันเลยทีเดียว