พาราสาวะถี

ขนาดประกาศกันอย่างเป็นทางการโดยอธิบดีกรมควบคุมโรคหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติมีมติว่า เปิดให้ประชาชนเดินเข้าไปรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ และพร้อมดำเนินการได้ทันที แต่คล้อยหลังไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกลับให้สัมภาษณ์ว่า การวอล์คอินฉีดวัคซีนนั้นเป็นแผนที่เตรียมการไว้สำหรับเดือนมิถุนายน ไม่ใช่เริ่มเลย สรุปแล้วยังไงกันแน่ นี่คือปัญหาของการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันหรือทำงานไม่ประสานกันแน่


อรชุน

ขนาดประกาศกันอย่างเป็นทางการโดยอธิบดีกรมควบคุมโรคหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติมีมติว่า เปิดให้ประชาชนเดินเข้าไปรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ และพร้อมดำเนินการได้ทันที แต่คล้อยหลังไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกลับให้สัมภาษณ์ว่า การวอล์คอินฉีดวัคซีนนั้นเป็นแผนที่เตรียมการไว้สำหรับเดือนมิถุนายน ไม่ใช่เริ่มเลย สรุปแล้วยังไงกันแน่ นี่คือปัญหาของการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันหรือทำงานไม่ประสานกันแน่

ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ยืนยันว่า จังหวัดไหนที่พร้อมสามารถเริ่มได้เลย ก่อนจะออกตัวว่าอาจจะมีบางแห่งที่คนมากกว่าวัคซีนที่มีไปแล้วแห้วก็อย่าว่ากันก็แล้วกัน สรุปแล้วก็คือ ใครที่ประสงค์จะวอล์คอินไปฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ไปเสี่ยงดวงกันเอาเองว่างั้นเถอะ เช่นนี้มันเป็นการทำงานแบบสะเปะสะปะมั่วซั่วหรือไม่ กับคำอธิบายที่ว่าแผนการวอล์คอินมีสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละพื้นที่เท่านั้น

นี่แหละปัญหาการสื่อสารที่หนักหนาสาหัส เข้าใจได้ว่า ความตั้งใจของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติคือ อยากให้คนที่อยากฉีดได้เดินเข้ามาฉีดได้ทันที เพราะประเมินจากตัวเลขของผู้ลงทะเบียนแสดงความสมัครใจจะฉีดแล้วมีจำนวนน้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ พูดง่าย ๆ คือกลุ่มคนอายุ 60 ปีขึ้นไปและกลุ่มโรคประจำตัว 7 กลุ่มจำนวน 16 ล้านคน มีผู้มาลงทะเบียน แสดงความประสงค์กันแค่หลักไม่กี่ล้านคน ยังมีส่วนต่างเหลืออีกจำนวนมาก

แต่อย่าลืมว่า จำนวนส่วนใหญ่ของผู้ที่จองฉีดวัคซีนนั้นจะเริ่มดำเนินการกันในเดือนหน้า เพราะเป็นเดือนที่วัคซีนจะมีเข้ามาจำนวนมากทั้งจากของซิโนแวคและแอสตราเซเนกา ถ้าเกิดคนแห่แหนไปฉีดกันตั้งแต่วันนี้ นี่ก็จะกลายเป็นประเด็นโจมตีผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะเข้าไปอีก ท้ายที่สุดก็จะโทษโน่นโทษนี่ หนีไม่พ้นว่าเป็นปัญหาทางการเมืองทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ความจริงก็ไม่ควรจะต้องรีบร้อนอะไรขนาดนั้น หรือเป็นเพราะเห็นว่าตัวเลขของผู้ป่วยรายวันมันพุ่งทะยานจนน่าตกใจ

น่าจะเป็นเหตุผลนี้ ถ้าจำกันได้ก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์มีการยืนยันจากทางภาครัฐโดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสถานการณ์โควิด-19 ตัวเลขผู้ป่วยอาจจะพบมากหลังเทศกาลสงกรานต์ไม่เกินสองสัปดาห์ หลังจากนั้นสถานการณ์น่าจะเข้าสู่โหมดเบาใจได้ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ นี่ผ่านสงกรานต์มาร่วมเดือนแล้ว ปรากฏว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อยังทรงตัวค่อนไปในทางที่จะสูงขึ้นเสียด้วยซ้ำ ยิ่งตัวเลขล่าสุดที่ทะลุเกือบ 5 พันคนยิ่งน่าตกใจ

แม้ว่าตัวเลขเกือบสามพันคนจะมาจากผู้ต้องขังในเรือนจำก็ตาม แต่นั่นก็เป็นภาพสะท้อนว่า มาตรการที่ภาครัฐอ้างมาโดยตลอดว่า มีมาตรการที่เข้มข้น รัดกุม โดยเฉพาะในเรือนจำเชื่อว่าจะจำกัดวงการแพร่ระบาดได้ แต่เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อล่าสุดแล้ว มันน่าจะเป็นไปในทิศทางตรงข้าม ยิ่งในเรือนจำน่าจะเป็นสถานที่ที่สามารถคัดกรอง ป้องกันและควบคุมได้ง่ายที่สุด แต่ยังพบการแพร่ระบาดได้ขนาดนี้ ย่อมชวนให้น่าคิดว่าแล้วมาตรการที่ใช้กับสังคมภายนอกมันแน่นหนาเพียงพอหรือไม่

การระบาดรอบนี้เห็นได้ชัดว่า มีคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมดจากจุดนั้นก็ไปโผล่จุดนี้และพบผู้ติดเชื้อในจำนวนที่มากกว่าหลักร้อยรายขึ้นไป ซึ่งหมายความว่ามาตรการค้นหาเชิงรุกที่เป็นอาวุธสำคัญในการควบคุมการระบาดในสองระลอกแรก ใช้ไม่ได้ผลกับการระบาดในรอบนี้ ส่วนวัคซีนที่เป็นความหวังเมื่อมันไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว คนส่วนใหญ่ก็น่าที่จะพร้อมฉีดโดยที่ไม่ได้มุ่งหวังเรื่องของการป้องกันการติดเชื้อ แต่คาดว่าจะช่วยลดความรุนแรงและการตายได้หากเกิดการติดเชื้อ

เรื่องนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องกระตุ้นกันทุกทาง เพียงแค่ช่วยกันสร้างการรับรู้และสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนว่าฉีดแล้วไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง พร้อม ๆ กับการมีของให้เพียงพอต่อความต้องการแค่นั้น ไม่ใช่เที่ยวโพนทะนาและคลอดมาตรการต่าง ๆ ออกมาโดยที่ทำให้ประชาชนอยากฉีด แต่สุดท้ายก็ต้องมายักแย่ยักยันเหมือนกรณีการวอล์คอิน รู้กันอยู่ว่า การบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลสืบทอดอำนาจนั้นผิดพลาด ล้มเหลว ก็ยังจะมาทำให้ประชาชนเสียความรู้สึกเข้าไปอีก

อีกเรื่องที่ต้องเตือนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกับการมีเสนาบดีปากเปราะอยู่ข้างกายจะกลายเป็นนำก้อนอิฐมาให้แทนที่ของดอกไม้ เหมือนอย่างรายของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ไม่รู้ว่าเพราะตำแหน่งเสนาบดีที่เป็นหัวโขนอยู่หรือนี่คือนิสัยใจคอที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่แล้วมาปรากฏเอาตอนแก่ กับคำพูดที่ว่า “อย่ามามัวเลือกยี่ห้อวัคซีนที่ไทยมีอยู่ดีหมดขอให้รีบไปฉีด” นี่เป็นการเชิญชวนประชาชนหรือข่มขู่ ไม่รู้ว่าปากไปอมนกหวีดที่เรียกเผด็จการสืบทอดอำนาจ จนทำให้ตัวเองได้เป็นรัฐมนตรีในวันนี้หรืออย่างไร ซึ่งจะว่าเป็นพวกพูดไม่รู้จักคิดคงไม่ได้ ระดับด็อกเตอร์ไม่น่าจะโง่ขนาดนั้น

ขณะที่รายนี้คงรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ใครสำคัญกว่า สิระ เจนจาคะ ที่ออกอาการหงอต่อกรณีมีปัญหาเรื่องโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดินของ เหรียญทอง แน่นหนา เพราะบทสัมภาษณ์วันวานพูดเหมือนไม่เคยปะทะคารมหรือปะทุทางอารมณ์ใส่กันมาก่อน แต่พอได้ฟังผู้นำเผด็จการบอกกับนักข่าวต่อประเด็นนี้จึงถึงบางอ้อ ตนรู้และได้สั่งการไปแล้วโดยที่หัวหน้าพรรคของส.ส.คนดังว่าก็เรียกจัดการไปแล้ว ให้รู้เสียบ้างว่าไผเป็นไผ ซึ่งจะว่าไปแล้วก่อนหน้าก็เป็นพวกม็อบนกหวีดที่สุมหัวกันกับแก๊งยึดศูนย์ราชการนั่นเอง

ส่วนประเด็นเรื่องวัคซีนที่เป็นผลให้ทนายความของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่เคยสมอ้างฉายาแรมโบ้ไปดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับอดีตนักร้องดังในความผิดมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น ก็ขอให้คิดกันให้ดี สิ่งที่ทำไปเพื่อปกป้องสถาบันหรือแค่ปกป้องตัวบุคคลที่เป็นปัญหา เพราะถ้าไม่รอบคอบ แทนที่จะเป็นการปกป้องจะกลายเป็นการทำให้ระคายเคืองโดยใช่เหตุ แต่เมื่อเป็นคดีความกันไปแล้วก็อยู่ที่ดุลยพินิจของกระบวนการที่เกี่ยวข้องจะไปดำเนินการ

Back to top button