ขาเที่ยวยังไม่ ‘ปักหมุด’ เอเชีย
หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก นักท่องเที่ยวซึ่งอึดอัดมานานกับการล็อกดาวน์ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เริ่มวางแผนกันแล้วว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างในช่วงวันหยุดฤดูร้อนปีนี้ มีข้อมูลที่ชี้ว่า มีการค้นหาที่เที่ยวและจองที่พักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรปและในอเมริกา แต่แผนการท่องเที่ยวของประชาชนในแต่ละที่แตกต่างกัน
กระแสโลก : ฐปนี แก้วแดง
หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก นักท่องเที่ยวซึ่งอึดอัดมานานกับการล็อกดาวน์ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เริ่มวางแผนกันแล้วว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างในช่วงวันหยุดฤดูร้อนปีนี้ มีข้อมูลที่ชี้ว่า มีการค้นหาที่เที่ยวและจองที่พักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรปและในอเมริกา แต่แผนการท่องเที่ยวของประชาชนในแต่ละที่แตกต่างกัน
จากข้อมูลของคณะกรรมการเดินทางยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่เป็นตัวแทน 30 ประเทศในยุโรป ชาวยุโรปมากกว่าครึ่ง หรือราว 56% ตั้งใจจะเดินทางในฤดูร้อนนี้ แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะท่องเที่ยวภายในทวีปยุโรป โดยเกือบครึ่งหนึ่งหรือ 49% ของผู้ที่ได้สำรวจมา กำลังวางแผนที่จะไปเที่ยวประเทศอื่นในยุโรป ในขณะที่ 36% ตั้งใจที่จะเที่ยวในประเทศ
ผลการวิจัยที่เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายนชี้ว่า 29% วางแผนเที่ยวระหว่างเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ขณะที่ 46% รอเที่ยวเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม โดยมีแผนเที่ยวในสเปน 10.4% อิตาลี 9% ฝรั่งเศส 7% กรีซ 6.2% และเยอรมนี 5.2%
มีการจองทริปเพื่อเดินทางไปหาเพื่อนและครอบครัวเพียง 19% แต่ สองในสามหรือ 66% จองเพื่อการพักผ่อน และ 34% เดินทางไปเที่ยวทะเล และมากกว่า 50% เต็มใจเดินทางด้วยเครื่องบิน ขณะที่ 36% เต็มใจเดินทางโดยรถยนต์
โปรตุเกสเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับ 6 จากการสำรวจของคณะกรรมการเดินทางยุโรป แต่การสำรวจนี้ทำก่อนที่นักเดินทางอังกฤษ จะเร่งทำการจอง หลังจากที่อังกฤษได้รวมเอาโปรตุเกสเข้าไปอยู่ใน “บัญชีสีเขียว” เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม
บัญชีสีเขียว หมายถึงประเทศที่ผู้เดินทางจากประเทศอังกฤษ ไม่จำเป็นต้องกักตัวเมื่อกลับจากประเทศเหล่านั้น ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่มีประเทศไทย นอกจากมีโปรตุเกสแล้ว ยังมี อิสราเอล ไอซ์แลนด์ ออสเตรเลีย บรูไน นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ หมู่เกาะแฟโร ยิบรอลตาร์ เกาะเซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช เกาะอัสเซนชัน และเซนต์เฮเลนา อัสเซนชัน และตริสตันดากูนยา
ส่วนแผนการท่องเที่ยวของชาวอเมริกัน มีข้อมูลจากเครือข่ายตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวว่า ยังคงท่องเที่ยวในประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยฮาวายและชายหาดอื่น ๆ สามารถดึงดูดคนที่จะไปพักผ่อน ขณะที่อลาสก้าดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มักชอบเดินทางไปสถานที่แปลกใหม่อย่างแอฟริกา
ข้อมูลจากแอร์บีเอ็นบี ชี้ว่า เมื่อเทียบกับเทรนด์เดินทางในช่วงวันเมมโมเรียล เดย์เมื่อสองปีก่อน มีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นเป็นเลขสามหลัก โดยมีการค้นหาเต็นท์ 260% เรือนแพ 142% ฟาร์มสเตย์ 119% และบ้านต้นไม้ 111% เนื่องจากนักเดินทางไม่ต้องการพักในโรงแรม แต่อยากไปพักในที่ห่างไกลและที่แปลก ๆ มากขึ้น
ในขณะที่คาดว่าคนอเมริกันจะเดินทางภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ในปีนี้ แต่มีการค้นหาตั๋วเดินทางข้ามแอตแลนติกมากขึ้น 47% หลังประธานคณะกรรมการยุโรประบุว่า คนอเมริกันที่ฉีดวัคซีนแล้ว อาจสามารถเดินทางไปยุโรปได้ในฤดูร้อนนี้ โดยลอนดอน ปารีส และบาร์เซโลนา เป็นเมืองในยุโรปที่มีการค้นหามากสุด หากยุโรปเปิดให้คนอเมริกันเข้าได้ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนอเมริกันอยากไปยุโรปคือ เที่ยวบินไปยุโรปถูกกว่าในอดีต
ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย พบว่า ยังคงเป็นอัมพาตเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเอเชียต้องจัดการกับการระบาดของโควิด-19 ที่เกี่ยวกับสายพันธุ์ B.1.617 ที่พบเป็นครั้งแรกในอินเดียเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
อัตราการติดเชื้อยังคงสูงในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนทั่วเอเชียยังต่ำ และในเดือนที่ผ่านมา ประเทศที่เคยมีจำนวนผู้ติดเชื้อคงที่ อย่างสิงคโปร์ ไทยและเวียดนาม มีการติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
แหล่งท่องเที่ยวเพียงไม่กี่แห่งในเอเชียที่กำลังต้อนรับการท่องเที่ยวจำนวนมาก อย่างเช่น มัลดีฟส์และศรีลังกาก็กำลังพบการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง โดยในจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดในมัลดีฟส์ประมาณ 40,000 คน นับตั้งแต่การระบาดเริ่มขึ้น มีการยืนยันติดเชื้อกว่า 11,000 คน ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผลสำรวจเหล่านี้ชี้ว่า นักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกาเน้นท่องเที่ยวในทวีป และในประเทศเป็นส่วนใหญ่ และยังไม่มีแผนที่จะ “ปักหมุด” มาเที่ยวในเอเชีย ดังนั้น ความหวังที่ประเทศไทยจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ตามที่รัฐบาลหวังไว้ จึงน่าจะยังคงเป็นความหวังที่เลื่อนลอย และน่าจะต้อง “รอเก้อ” ตราบเท่าที่ยอดผู้ติดเชื้อใหม่และเสียชีวิตยังสูงเพิ่มขึ้นทุกวัน