พาราสาวะถี

อรชุน

ลำพังคอยชี้แจง แก้ข่าวเรื่องวัคซีนโควิด-19 ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว อย่างที่บอกรัฐบาลสืบทอดอำนาจเหมือนบุญมีแต่กรรมบัง และช่วงนี้น่าจะเข้าสู่โหมดเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากโควิดสายพันธุ์อังกฤษที่อาละวาด เพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยวันละหลายพันคนอยู่ในเวลานี้แล้ว การพบโควิดสายพันธุ์อินเดียที่แคมป์คนงานหลักสี่เกือบ 40 ราย ตามมาด้วยโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้พบที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ก็กลายเป็นเรื่องเขย่าขวัญสั่นประสาทผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นอย่างยิ่ง

วางเรื่องความรุนแรงของสองสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดก่อนว่าจะมากน้อยขนาดไหน เพราะต้องให้ผู้รู้ในแวดวงการแพทย์และสาธารณสุขเป็นผู้อธิบาย แต่การปรากฏขึ้นของโควิดสายพันธุ์ใหม่ทั้งคู่นั้น มันส่งผลต่อความมั่นใจและการตัดสินใจจะไปฉีดวัคซีนของประชาชน เนื่องจากที่ฉีดกันอยู่ในเวลานี้คือซิโนแวคจากจีน เกิดคำถามตัวโตว่าสู้กับโควิดทั้งสองสายพันธุ์ได้หรือไม่ มากไปกว่านั้นก็คือ การที่อียูอนุญาตให้ผู้ฉีดวัคซีนเข้าประเทศได้ ไม่มีรายชื่อของวัคซีนจากจีนรายนี้อยู่ในลิสต์ด้วย

ย่อมเป็นเครื่องหมายคำถาม เพราะวัคซีนที่อยู่ในบัญชีอนุญาตของอียูล้วนแต่เป็นตัวที่คนไทยส่วนใหญ่เรียกร้อง แต่ดูท่าว่าคนมีฐานะจะได้รับโอกาสในการฉีดจากการจองวัคซีนทางเลือกผ่านเอกชนมากกว่า นั่นก็คือ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา โดยที่มีวัคซีนจากจีนอีกตัวอย่างซิโนฟาร์มที่ได้รับการยอมรับด้วย ประกอบกับข้อมูลทางการแพทย์ที่มีการสื่อสารกันออกมาหลายทางก็ชี้ชัดว่าประสิทธิภาพของวัคซีนโควิดที่มีอยู่นั้นซิโนแวคอยู่ในอันดับรั้งท้ายและยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือฮู

เมื่อเป็นเช่นนี้มันย่อมหมายถึงเครดิตของรัฐบาลถูกกระทืบซ้ำ ภาพลักษณ์เรื่องวิสัยทัศน์ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจย่อยยับไม่มีเหลือ เวลานี้การที่คนจำนวนไม่น้อยต้องการจะฉีดวัคซีนแบบไม่มีตัวเลือก เพราะไร้ทางเลือก เนื่องจากการแพร่ระบาดที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องตัดใจกำขี้ดีกว่ากำตด อย่างน้อยแม้จะไม่มีประสิทธิภาพเลิศเลอเหมือนกับวัคซีนตัวท็อป แต่ก็คงจะช่วยป้องกันอาการหนักและลดการตายได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการป้องกันการติดต่อของโรค

ส่วนผู้ที่มีกำลังก็หันไปใช้ช่องทางวัคซีนตัวเลือก ที่ขณะนี้ทางโรงพยาบาลเอกชน กำลังเปิดให้จองและเร่งสรุปตัวเลขเพื่อส่งให้องค์การเภสัชกรรมประสานสั่งจองวัคซีนของแต่ละเจ้า เข้ามาฉีดให้กับลูกค้าโดยเร็ว ตรงนี้ย้ำมาตั้งแต่ต้น เมื่อมีการบริหารจัดการวัคซีนล้มเหลว ล็อกเป้าไว้เจ้าเดียวหวังเป็นวัคซีนหลักภายใต้สถานการณ์ควบคุมการแพร่ระบาดได้ในระลอกแรก พอสถานการณ์ระลอกสองเกิดขึ้นก็ยังไม่ตระหนัก การเดินทางมาถึงจุดนี้ก็กลายเป็นว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะเป็นผู้ยัดเยียดความเหลื่อมล้ำเรื่องวัคซีนไปโดยปริยาย

อย่าได้ลืมเป็นอันขาดว่า วัคซีนตัวท็อปทั้งหลายนั้น รัฐบาลต่างประเทศส่วนใหญ่เขาจัดหามาฉีดให้กับประชาชนฟรี ขณะที่ประเทศไทยกว่าจะได้ฉีดของแอสตราเซเนกาล็อตใหญ่ก็ปาเข้าไปกลางปี ที่มีอยู่ก็ประปรายแม้จะยังมีข้อคำถามกับผลข้างเคียงที่เป็นปัญหาอยู่ แต่อย่างน้อยการที่ได้วัคซีนยี่ห้อนี้ก็น่าจะสร้างความเบาใจให้กับคนที่ฉีดทั้งต่อการได้รับพาสปอร์ตเพื่อการเดินทางในอนาคต รวมไปถึงการมีภูมิคุ้มกันที่น่าจะต่อกรกับสายพันธุ์อินเดียและแอฟริกาใต้ได้

ย้ำมาตลอดว่า ความสามารถในการเข้าถึงวัคซีนของประชาชนในช่วงการระบาดของโรคอุบัติใหม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเปิดทางเลือกให้ประชาชนมากกว่าที่มีอยู่ พอทางเลือกน้อยก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่จะตัดสินใจร่วมมือฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันใหม่ แล้วยังมาสะเปะสะปะว่าด้วยขั้นตอนการจองคิวและการฉีด ยิ่งซ้ำเติมความไม่มั่นใจของประชาชนหนักข้อเข้าไปอีก ที่หนีไม่ออกคือสุดท้ายก็ต้องอาศัยบรรดาเซเลบทั้งหลายมาช่วยเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อให้ประชาชนเชื่อถือ

ไม่ต้องไปเสียเวลาอรรถาธิบายว่าคนเหล่านั้นลัดคิวหรือต้องเสียค่าตัวจ้างมาหรือไม่ เอาแค่ว่าให้คนเหล่านั้นกล้ามาฉีดและยอมที่จะสื่อสารกับสังคมว่าวัคซีนตัวที่ฉีดไปนั้นไม่ได้มีปัญหาอย่างที่คนส่วนใหญ่กลัว ก็ถือว่าช่วยได้ในระดับหนึ่งแล้ว ส่วนประเด็นปลีกย่อยทั้งหลายก็ปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน วันนี้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะเอาแค่ประคองสถานการณ์อยู่ในรอดปลอดภัยไปวัน ๆ ก็ถือว่าเหนื่อยแล้ว ไม่ต้องไปเปิดศึกหลายด้าน

เพราะอ่านเกมออกมองสถานการณ์ในอนาคตรู้ การที่ศบค.ชุดใหญ่เคาะต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 2 เดือนจากที่เคยต่อทีละเดือนนั้น ไม่ใช่ต้นเหตุมาจากการแพร่ระบาดของโควิดที่เอาไม่อยู่ รู้กันอยู่ว่าบรรดาคนที่รวมตัวกันออกมาขับไล่นั้น นับวันเริ่มที่จะชัดเจนและล้วนแต่เป็นบรรดาขาใหญ่มากยิ่งขึ้นด้วย เวทีไทยไม่ทน ที่มี อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 เป็นหัวเรือใหญ่ โดยมี จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.ยืนขนาบข้างนั้น นับวันเวทีจะมีผู้คนจากหลากหลายกลุ่มเข้าร่วมต่อเนื่อง

นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมเป็นต้นมา วาระครบรอบ 7 ปีรัฐประหารคสช. เวทีดังว่าจัดวงเสวนาอภิปรายกัน 9 วันรวด เพื่อตอกย้ำถึงความบกพร่อง ผิดพลาด ล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลคสช.และรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่อ้างว่าอยู่มาแค่ 2 ปีเหมือนอย่างที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พ่นน้ำลายหลอกเด็กออกมา ขณะที่อีกฟากกลุ่มประชาชนคนไทย ที่มีอดีตแกนนำของระบอบสนธิ-จำลองและม็อบนกหวีด ก็ออกตัวแรงด้วยการตั้งโต๊ะแถลงข่าวตามมาด้วยการยื่นหนังสือให้ท่านผู้นำลาออกเปิดทางให้คนที่มีความสามารถเข้ามาแทน

แม้จะดูเหมือนว่าการขับเคลื่อนของกลุ่มนี้จะแตกต่างออกไปจากเวทีไทยไม่ทน แต่ก็เป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือ ขับไล่ขบวนการสืบทอดอำนาจที่ยืนขวางเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ จะว่าไปข้อเสนอจากกลุ่มประชาชนคนไทยเรื่องนายกฯ คนนอกหรือรัฐบาลเฉพาะกาลนั้น คงไม่ถูกปฏิเสธจากอีกเวทีเป็นแน่ เพราะสิ่งที่ทุกกลุ่มมองเห็นตรงกันก็คือ ตราบใดที่ยังมีคนชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดกุมอำนาจอยู่ ประเทศไม่มีทางพัฒนาไปได้ การแก้ไขปัญหาก็พายเรืออยู่ในอ่างอย่างนี้ ดังนั้น ใครก็ได้ที่จะเข้ามาแทนทุกฝ่ายเชื่อว่าน่าจะดีกว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแน่นอน