พาราสาวะถี
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะยกมือผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 อย่างท่วมท้น แม้ว่าส.ส.ของสองพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยจะรุมถล่มการจัดสรรงบประมาณครั้งนี้อย่างสาดเสียเทเสียก็ตาม แต่ต้องแยกให้ออกระหว่างแอ็คชั่นทางการเมืองกับผลประโยชน์ทางการเมือง เมื่อทุกอย่างคุยกันแล้วจบก็ไม่มีปัญหา ส่วนลีลาที่แสดงออกก็เพื่อเป็นการระบายหรืออีกนัยหนึ่ง เพื่อสะกิดให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้รู้ว่า “ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว”
อรชุน
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะยกมือผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 อย่างท่วมท้น แม้ว่าส.ส.ของสองพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยจะรุมถล่มการจัดสรรงบประมาณครั้งนี้อย่างสาดเสียเทเสียก็ตาม แต่ต้องแยกให้ออกระหว่างแอ็คชั่นทางการเมืองกับผลประโยชน์ทางการเมือง เมื่อทุกอย่างคุยกันแล้วจบก็ไม่มีปัญหา ส่วนลีลาที่แสดงออกก็เพื่อเป็นการระบายหรืออีกนัยหนึ่ง เพื่อสะกิดให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้รู้ว่า “ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว”
ยิ่งมองย้อนกลับไปยังสองพรรคการเมือง หากจะถามหาความเสียสละมันคงเกิดขึ้นตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมปี 2562 แล้ว ขนาดที่บางพรรคการเมืองประกาศไม่สนับสนุนขบวนการสืบทอดอำนาจ แต่สุดท้ายก็อ้างมติพรรคกลืนน้ำลายตัวเองเพื่อแลกกับอำนาจที่คนของพรรคตัวเองส่วนใหญ่โหยหา จนส่งผลให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องรับบทแสดงสปิริตเพื่อรักษาคำพูด ปากอ้างประชาธิปไตยแต่จิตใจและการปฏิบัติมันคนละเรื่อง ทุกอย่างมันจึงเดินทางมาถึงวันนี้
แม้จะเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณผ่านสภาวาระแรกไปได้แล้ว ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปได้ระดับหนึ่ง ที่เหลือคือการก้มหน้าก้มตาแก้ปัญหาวิกฤติโควิด-19 ประเด็นวัคซีนแอสตร้าเซเนกาก็น่าจะทำให้โล่งอกกันทุกฝ่ายสำหรับพวกที่เกี่ยวข้อง หลังจากที่บริษัท แอสตร้าเซเนกา (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งมอบวัคซีนล็อตแรกที่ผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างน้อยไม่ต้องตอบคำถามว่าจะมีวัคซีนแอสตร้าเซเนกามาฉีดให้คนไทยในการประเดิมปูพรมวันที่ 7 มิถุนายนนี้หรือไม่ ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวดีตีคู่กันมานั่นก็คือ วัคซีนซิโนแวค ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของการบริหารจัดการ จะสร้างความพึงพอใจให้กับทุกพื้นที่ได้หรือไม่ หรือจะเอาใจและให้ความสำคัญเฉพาะพื้นที่วิกฤติอย่างกรุงเทพมหานคร จนทำให้เกิดข้อครหาเห็นคนต่างจังหวัดเป็นพลเมืองชั้นสอง
หากพิจารณาจากท่วงทำนองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อการขอจัดซื้อวัคซีนเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรืออปท.แล้ว ต้องยอมรับว่านี่เป็นการถอนสลักแรงกดดันของท่านผู้นำ ไม่อยากเปิดศึกหลายด้านสร้างศัตรูรอบตัว ด้วยคำยืนยันกระทรวงมหาดไทยไม่ต้องแก้กฎระเบียบอะไร อปท.มีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดซื้ออยู่แล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังการันตีอีกต่างหากว่า เรื่องนี้ไม่ต้องนำเข้าที่ประชุมศบค.เพราะถือเป็นอำนาจหน้าที่ของสภาท้องถิ่นที่จะดำเนินการได้ทันที
กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าจะเป็นการปล่อยผ่านเพื่อเอาใจทางการเมืองไปเลยเสียทีเดียว เนื่องจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังมีปุจฉาว่า อปท.มีงบประมาณของตัวเองแต่ปัญหาคือจะซื้อที่ไหน ซื้ออย่างไร จำนวนเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องอปท. และบริษัทผู้แทนจะต้องไปเจรจากันเอง แต่อย่างน้อยการไม่ขัดขวางหรือตีกันเหมือนก่อนหน้านี้ที่ห้ามใครมายุ่งกับการนำเข้าวัคซีน ต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลหรือศบค.เท่านั้นด้วยข้ออ้างเพื่อความมั่นคงและเป็นวัคซีนที่ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องให้รัฐบาลเท่านั้นเป็นผู้ดำเนินการ
สถานการณ์ล่วงเลยมาขนาดนี้คงเปล่าประโยชน์ที่จะมากันท่า และหวังจะสร้างผลงานแต่เพียงผู้เดียว เพราะสิ่งที่ทำกันมาถือว่าล้มเหลวในแง่ของการบริหารจัดการท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติ หากเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งทั่วไป ป่านนี้คงได้เห็นบรรดาคนดีหรือผู้มีต้นทุนทางสังคมทั้งหลายออกมาเคลื่อนไหวกดดัน ขับไล่หรือไม่ก็ไปร้องให้องค์กรตรวจสอบที่มีอยู่จัดการไปแล้ว นี่คือความโชคดีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ไม่มีภาพเช่นนั้น
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าองค์กรตรวจสอบทั้งหมดที่มีไม่มีใครทำอะไรได้ ขณะเดียวกันบรรดาผู้มีต้นทุนทางสังคมไม่ว่าจะในแวดวงใดก็ตาม ต่างได้รับการประเคนผลประโยชน์ให้จนสำลัก ทำให้น้ำท่วมปากพูดอะไรมากไม่ได้ ปล่อยให้ประชาชนตาดำเผชิญวิกฤติกันไปตามยถากรรม เรื่องโรคร้ายก็ว่ากันไปตามแต่ผู้มีอำนาจจะจัดการ ส่วนปากท้อง คุณภาพชีวิต ก็รอรับส่วนบุญที่จัดสรรกันมาผ่านสารพัดโครงการประชานิยมจำแลงก็แล้วกัน
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่อื้ออึงต่อเนื่องกันมานั้น คลับเฮาส์ที่กลายเป็นช่องทางสื่อสารโชว์วิสัยทัศน์ของอดีตผู้นำอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ก็ทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ถามถึงความเบื่อหน่ายจากสองพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งก็คงรู้คำตอบอยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะกับบางพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยอคติต่อคนแดนไกลย่อมไม่ให้ราคาต่อคำถามที่ตั้งขึ้น แต่ดูเหมือนว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ไม่ได้เป็นฝ่ายตั้งรับเสียทีเดียว แม้จะปฏิเสธให้สัมภาษณ์ตอบโต้แต่การพูดในสภาว่าด้วยเรื่องจำนำข้าวกับการใช้หนี้ย่อมตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้
คิดอะไรไม่ออกพลิกเกมไหนไม่ทันก็ขุดเอาผีทักษิณหรือหยิบปมจำนำข้าวมาโจมตีเพื่อเบี่ยงประเด็นไปก็แล้วกัน แต่นั่นยังไม่เด็ดเท่าสิ่งที่ท่านผู้นำย้อนถามนักข่าวที่ไปดักรอสัมภาษณ์ว่า “เธอพูดเรื่องนี้บ่อย ฉันได้ข่าวว่าเธอติดต่อกับเขาเรื่อยนะ นักข่าวไปรับข้อมูลเขามาแล้วเอามาถาม” ตรงนี้ถือเป็นข้อกล่าวหา ถ้านักข่าวคนที่ถูกถามไม่ตอบโต้ ถือเป็นหน้าที่ของต้นสังกัดว่ารู้สึกอย่างไรที่คนของตัวเองถูกกล่าวหาว่าไปรับงานคนแดนไกลมาเพื่อดิสเครดิตฝ่ายสืบทอดอำนาจ
ทั้งที่ความจริงหากฟังอย่างตั้งสติ นี่คือการชงคำถามเพื่อให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้แสดงความเหนือชั้นของตัวเองที่คิดว่ามีมากกว่าอดีตผู้นำที่ตัวเองกระแนะกระแหนว่าหนีคดี แต่เมื่อเลือกที่จะตอบโต้ด้วยการดิสเครดิตในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นผู้ถูกกระทำจากอำนาจที่ได้มาโดยปลายกระบอกปืน มันจึงยิ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบและนับวันยิ่งจะห่างชั้นกันไปเรื่อย ๆ สะเปะสะปะออกอ่าวออกทะเลคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในประเทศมองเห็นท่านผู้นำและคณะอยู่เวลานี้