KEX หรือจะหาญสู้ FLASH

* ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นการพูดคุยแบบมีสาระจัดเต็มตามจั่วหัวที่ “โมนิก้า” โปรยไว้เป็นประเด็นเพื่อถกเถียงนั้น ก็ขออนุญาตพูดถึงสถานการณ์หุ้นไทยสักนิดหนึ่ง เพราะนักเล่นกลุ่มต่าง ๆ อยู่ในอาการกระดี๊กระด๊ากันเป็นแถว จึงต้องเกาะติดประเด็นนี้มากนิดหนึ่ง หลังมีการขยับเป้าดัชนีขึ้นไปแตะ 1,650 จุดกันอย่างพร้อมเพรียง และบางกระแสก็ให้เป้าสูงถึงระดับ 1,700 จุดกันเลยนะนายจ๋า!


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

* ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นการพูดคุยแบบมีสาระจัดเต็มตามจั่วหัวที่ “โมนิก้า” โปรยไว้เป็นประเด็นเพื่อถกเถียงนั้น ก็ขออนุญาตพูดถึงสถานการณ์หุ้นไทยสักนิดหนึ่ง เพราะนักเล่นกลุ่มต่าง ๆ อยู่ในอาการกระดี๊กระด๊ากันเป็นแถว จึงต้องเกาะติดประเด็นนี้มากนิดหนึ่ง หลังมีการขยับเป้าดัชนีขึ้นไปแตะ 1,650 จุดกันอย่างพร้อมเพรียง และบางกระแสก็ให้เป้าสูงถึงระดับ 1,700 จุดกันเลยนะนายจ๋า!

* สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ช่วงเช้าดัชนีขยับขึ้นไปถึง 1,627.67 จุด ก่อนจะย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,617.55  จุด ลบไป 1.04 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.01 แสนล้านบาท ท่ามกลางข่าวดีที่ไหลพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย ย่อมเป็นแรงกระตุ้นให้ขาลุยกระโจนใส่หุ้นกันอุตลุด พร้อมกับวาดฝันเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งต่อจากนี้ เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ จนความต้องการสินค้าต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

* นั่นหมายความว่า ไตรมาส 3 จะเป็นจุดที่ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ โกยกำไรอย่างเต็มที่ และหนึ่งในธุรกิจที่ยังไปได้สวยไม่สร่างซา คงต้องมองไปที่โลจิสติกส์มากกว่าหุ้นตัวอื่น ๆ เพราะกำลังเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแต่ละเจ้าต้องงัดทีเด็ดของตัวเองมาสู้อย่างเต็มที่ “โมนิก้า” จึงอยากพูดถึงประเด็นนี้มากเป็นพิเศษ เพื่อให้ทุกคนเห็นรายการ “ยักษ์ใหญ่ชนยักษ์ใหญ่” และ “ยักษ์เล็กชนยักษ์เล็ก”..ภาพที่ออกมาเลยอาจเป็นว่า ยักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็ก..ยักษ์เล็กไล่ยักษ์ใหญ่..ร้องวนไป..อิอิอิ

* ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” สามารถเดินทางถึงบางอ้ออย่างรวดเร็ว พร้อมกับเข้าใจเหตุผลที่ทำให้หุ้น KEX ถูกมือดีขายทิ้งแบบไม่มีเยื่อใย จนราคาหุ้นที่เคยทำท่าจะตีตื้นขึ้นมายืนแถว 45 บาท ต้องมีอันร่วงผล็อยไปโดยปริยาย และมีความเป็นไปได้สูงที่จะลงไปโลว์เก่าที่บริเวณ 38 บาทในไม่ช้า เพราะราคาล่าสุดยืนอยู่ที่ 42 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 2.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 394 ล้านบาทแล้วนะซี

* สาเหตุที่ทำให้ “โมนิก้า” เชื่อเช่นนั้นเป็นเพราะคู่แข่งรายสำคัญอย่าง FLASH เปิดตัวกลุ่มทุนที่เป็นแบ็คอัพแบบยิ่งใหญ่อลังการชนิด “วัวตายควายล้ม” ทั้งคอกกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมทุนอย่าง SCB 10X ซึ่งใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่า นี่เป็นเด็กปั้นที่ได้รับการหนุนหลังจากแบงก์ม่วงเต็มตัว เพราะมีเป้าหมายลงทุนสตาร์ตอัพทั่วโลก ผลักดันสตาร์ตอัพไทยก้าวสู่เวทีโลกอีกด้วยแบบนี้..หนาวไหมล่ะคุณพี่!

* เจ๋งไปกว่านั้นคือ OR ก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมทุนคนสำคัญในครั้งนี้เสียด้วย ซึ่งทำให้การจับมือครั้งนี้สะเทือนไปทั้งวงการ เพราะได้มีการเปิดออปชั่นเพื่อ win-win กันมากมาย อาทิเช่น บริการน้ำมันแก่รถที่ใช้ในการขนส่ง  และให้แฟลชเข้ามาช่วยส่งสินค้าของ โออาร์ หรือแม้กระทั่งเปิดให้บริการจุดรับส่งพัสดุ ภายในร้าน Café Amazon ก็มาด้วยเช่นกัน..แต่ที่เจ๋งเป้งสุด ๆ  “โมนิก้า” ต้องมองไปที่เรื่องใช้พื้นที่ของปั๊มน้ำมันสำหรับเป็นศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งจะเป็นการกรุยทางเพื่อเกาะโออาร์ไปลุยตลาดต่างประเทศนะจะบอกให้

* ไม่ใช่มีเพียงแค่นี้นะตัวเอง..เพราะยังมี Durbell ซึ่งอยู่ในเครือกลุ่มธุรกิจ TCP ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำของโลกและประเทศไทย หรือที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดีก็คือ  กระทิงแดง (เรดบูล), เรดดี้, สปอนเซอร์, แมนซั่ม และ เพียวริคุ ฯลฯ ก็ร่วมลงขันกับเขาอีกคน ย่อมเป็นช็อตที่เพิ่มความน่าเกรงขามขึ้นไปอีกขั้น เพราะในวงการนี้รู้กันดีว่า เดอเบล ถือเป็นผู้นำด้านการกระจายสินค้า และโลจิสติกส์ในประเทศไทยอีกเจ้าหนึ่งนะคะ

* นอกจากนี้ยังมี “กรุงศรี ฟินโนเวต” ซึ่งอยู่ในเครือของ BAY ก็เป็นอีกหนึ่งผู้สนับสนุนเงินทุนรายใหญ่ พร้อมกับโปรยยาหอมอย่างเต็มที่ว่า ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายช่วยกันต่อยอดความสำเร็จจากความเชี่ยวชาญ และจุดแข็งที่มีอยู่ จนวันนี้สามารถร่วมกันสร้าง E-commerce Ecosystem ที่สมบูรณ์ได้สำเร็จ จึงมั่นใจเหลือเกินว่า ยูนิคอร์นสัญชาติไทยรายนี้จะเติบโตก้าวกระโดดกันเลยทีเดียวนะจ๊ะ

* งานนี้ได้ฟังเรื่องราวดังกล่าวแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง?..ถ้ายังไม่ได้บทสรุป “โมนิก้า” ขอทิ้งท้ายอีกนิดหนึ่งว่า เที่ยวนี้ Flash Group สามารถเรียกเงินลงขันได้มากถึง 4,700 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ Flash Express ที่ให้บริการขนส่งสินค้ามีเงินไว้ทุ่มตลาดอย่างไม่อั้น หลังเคลมตัวเองว่า มียอดจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุดร่วม 2 ล้านชิ้น และยังเป็น Startup ไทยรายแรกที่สามารถระดมทุนรวมได้มากสุดในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี (มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท) แบบนี้…เคอรี่สู้ไหวป่าว?..อิอิอิ

Back to top button