พาราสาวะถี
ใช้ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เป็นจุดคิกออฟปูพรมฉีดวัคซีน 7 มิถุนายน ด้วยการเดินทางไปตรวจเยี่ยมความพร้อมและให้กำลังใจประชาชนที่มาฉีด ตามมาด้วยการประกาศ “พร้อมรับผิดชอบทุกเรื่อง” ไม่ได้เป็นสิ่งเหนือความคาดหมายในการป่าวประกาศของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ และตามมาด้วยการโพสต์เฟซบุ๊กยกเอาวันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นวันประวัติศาสตร์ในการต่อสู้กับสงครามไวรัสโควิด-19 และยกเป็นหมุดหมายในการเริ่มต้นโต้กลับของคนไทยพร้อมกันทั้งประเทศว่าจะไม่ยอมแพ้ให้กับไวรัสโควิด-19
อรชุน
ใช้ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เป็นจุดคิกออฟปูพรมฉีดวัคซีน 7 มิถุนายน ด้วยการเดินทางไปตรวจเยี่ยมความพร้อมและให้กำลังใจประชาชนที่มาฉีด ตามมาด้วยการประกาศ “พร้อมรับผิดชอบทุกเรื่อง” ไม่ได้เป็นสิ่งเหนือความคาดหมายในการป่าวประกาศของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ และตามมาด้วยการโพสต์เฟซบุ๊กยกเอาวันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นวันประวัติศาสตร์ในการต่อสู้กับสงครามไวรัสโควิด-19 และยกเป็นหมุดหมายในการเริ่มต้นโต้กลับของคนไทยพร้อมกันทั้งประเทศว่าจะไม่ยอมแพ้ให้กับไวรัสโควิด-19
หากเป็นการต่อสู้ในสงครามที่มองเห็นคนส่วนใหญ่คงจะเห็นดีเห็นงาม และปลาบปลื้มไปกับการปลุกเร้าของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้เป็นอย่างดี แต่ท่ามกลางภาวะวิกฤติที่เผชิญกันมาตั้งแต่ต้นปี 2563 สิ่งที่ทำให้ท่านผู้นำและลิ่วล้อสอพลอได้ชูคอโอ้อวดมีแค่การรับมือและสู้กับโควิดในการระบาดระลอกแรกเท่านั้น หลังการระบาดระลอกสองก็เป็นเหมือนสัญญาณเตือนที่สำคัญที่ทำให้ฝ่ายบริหารต้องตระหนัก แต่กลับไม่สำเหนียกจนเข้าสู่การระบาดระลอกสามที่ลามไปทุกหย่อมหญ้าและหนักหนาสาหัสอยู่ในเวลานี้
การจะสกัดกั้นด้วยการสอบสวนโรค เปิดเผยไทม์ไลน์ให้คนเฝ้าระวังเหมือนการระบาดในสองระลอกแรกนั้นทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยเตือนกันมาตั้งแต่คราวระบาดระลอกสองคือการเตรียมความพร้อมเรื่องวัคซีนและควรจะเริ่มฉีดแบบปูพรมกันตั้งแต่ปลายปีที่แล้วหรือต้นปีนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่แทงม้าตัวเดียว และเพิ่งมาเลือกม้าซิโนแวคเป็นตัวเสริมเมื่อคราวระบาดที่สมุทรสาคร ก่อนที่จะกลายมาเป็นวัคซีนหลัก มันจึงทำให้ทุกอย่างถูกมองเป็นความล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีน
ดังนั้น สิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจทิ้งท้ายในการโพสต์เฟซบุ๊กว่า “เราจะร่วมกันสู้อย่างไม่ย่อท้อ จนกว่าประเทศไทยจะได้ชัยชนะ” มันจึงดูห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก หากสถานการณ์การระบาดยังคงพบตัวเลขหลักสองพันกว่าสามพันเหมือนทุกวันนี้ ขณะที่วัคซีนก็เข้ามาไม่ได้ตามเป้า จนทำให้หลายจังหวัดต้องเลื่อนการฉีดวัคซีนให้กับคนที่จองไว้ เนื่องจากได้รับของไม่สอดคล้องกับจำนวนคนที่มาเข้าคิว สิ่งที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศอย่าไปฟังส่วนอื่นพูดเรื่องวัคซีนมันน่าจะสวนทางกับความเป็นจริง
ในเมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่า วัคซีนมันไม่พอ หลายจังหวัดจองกันไว้หลักแสนหลายแสนคนก็ได้รับการจัดสรรมาแค่หลักไม่กี่พันโดส แล้วมันจะฉีดได้ทันตามกำหนดได้อย่างไร ก็เหมือนอย่างที่ท่านไม่กล้าประกาศว่าวัคซีนหลักแอสตร้าเซเนกาจะถูกส่งเข้ามาประเทศไทยได้วันละกี่โดสนั่นแหละ เมื่อไม่มีการการันตีแล้วที่สั่งให้แต่ละจังหวัดไประดมคนเข้ามาฉีดมันจะเป็นไปตามแผนได้อย่างไร ข้าราชการไม่ใช่นักการเมืองจึงไม่อย่างหนาพอที่จะโกหกคำโตได้โดยไม่ละอายใจ
หนักข้อไปกว่านั้นคือหากไม่ประกาศเลื่อนออกไป แล้วให้คนไปเข้าคิวรอฉีดตามวันเวลาที่ระบุไว้มีหวังถูกด่าเปิงแน่นอน ต้องยอมรับความเป็นจริงกันว่า นอกจากวัคซีนไม่มาตามนัดแล้ว สถานการณ์ที่หนักหนาสาหัสในกทม.และปริมณฑลมันจึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแผน จากที่จะกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมทั่วประกาศ มันจึงเป็นการรวมศูนย์ตัดยอดวัคซีนในพื้นที่ซึ่งพบการระบาดน้อยมาให้พื้นที่เมืองหลวงและโดยรอบก่อน จึงเป็นการกระจุกของวัคซีนไม่ใช่การกระจาย
ไม่ต้องกลัวว่าคนต่างจังหวัดจะด่าว่าผลักให้เขาเป็นพลเมืองชั้นสองของประเทศ อย่างที่ กรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทองของภูมิใจไทยว่าไว้ เข้าใจได้กรุงเทพฯ คือหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ แต่เมื่อเรียกร้องคนไทยทั้งชาติรวมพลังเพื่อให้เมืองหลวงปลอดเชื้อ โดยการเสียสละให้นำวัคซีนมาฉีดปูพรมกันในกทม.ก่อน ก็ขอให้มันจบจริง ไม่ใช่เสียสละไปแล้วแต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิมก็เท่ากับการสูญเปล่า และจะเป็นการประจานผู้บริหารประเทศว่าบ่มีไก๊
ฟังคำของอนุทินที่ยืนยันว่า “ฟังกระทรวงสาธารณสุข ไม่ต้องไปฟังโรงพยาบาล” แล้วตัดกลับไปยังคำชี้แจงของผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัด โรงพยาบาลรัฐและเอกชนหลายพื้นที่ “วัคซีนโควิดไม่เพียงพอจัดสรรมาให้กับทางโรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องเลื่อนนัดหมายของท่านออกไปโดยไม่มีกำหนด” ยิ่งเป็นการตอกย้ำทำให้เห็นภาพของคำว่าหมอการเมืองกับหมออาชีพเด่นชัดมากขึ้น ต้องรอดูกันต่อว่าการถูลู่ถูกังกันไปแบบนี้ปลายทางมันจะจบลงแบบไหน
อีกอึดใจเดียวที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะมีการถกร่างพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท นอกจากคำว่าตีเช็คเปล่า ตรวจสอบไม่ได้แล้ว พฤติกรรมของการออกกฎหมายและนำไปสู่ภาคปฏิบัติก็น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนักข่าวตั้งคำถามเนติบริกรรอดช่อง วิษณุ เครืองาม ปมงบลับในงบเงินกู้ ถ้าไม่มีลับลมคมในเราจะได้ยินคำตอบที่ฉะฉานออกมาจากปากของมือกฎหมายผู้รับใช้เผด็จการสืบทอดอำนาจมากว่า 7 ปีรายนี้อย่างสิ้นข้อสงสัย แต่กับประเด็นนี้กลับตีกรรเชียงหน้าตาเฉย
การอ้างว่า ไม่ขอตอบ เพราะไม่รู้เรื่อง ตนไม่รู้เรื่อง ไม่ทราบเรื่อง ขอให้ถามทางสำนักงบประมาณจะดีกว่า และตนไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย มันผิดวิสัยของคนที่รู้ไปหมดทุกเรื่อง มิหนำซ้ำ ในเรื่องที่สำคัญยังออกอาการชี้นำเสียด้วยซ้ำไป เมื่อไม่มีคำอธิบายย่อมทำให้ฟันธงได้เลยว่า มีเรื่องนี้อยู่จริงในการเตรียมการใช้เงินกู้รอบใหม่ และการที่เป็นงบประมาณที่ตรวจสอบไม่ได้ และคงไม่มีองค์กรไหนเข้าไปตรวจสอบ มันจึงมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ว่างบประมาณก้อนนี้จะเป็นงบหาเสียงของพรรคแกนนำรัฐบาลที่สำคัญ
ขณะเดียวกัน การได้ตัวนักร้องมืออาชีพไปเข้าคอกสืบทอดอำนาจ มันก็เหมือนกับการปิดปากและตัดตัวปัญหาทิ้งไปอีกหนึ่งราย ไม่ต้องพูดถึงนักร้องอีกรายการเคลื่อนไหวในระยะหลังเป็นที่รู้กันเหมือนมีงาน ก็พลังดูดมหาศาลขนาดนี้ ทำให้งูเห่าหันมากินกล้วยได้ย่อมไม่ธรรมดา ต้องจับตาความเปลี่ยนแปลงภายในพรรคสืบทอดอำนาจ ถ้าตัวเดินเกมและมือจ่ายหนักเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคด้วยแล้ว เชื่อขนมกินได้เลยว่าเลือกตั้งครั้งหน้าสาดกระสุนดินดำที่สะสมกันเป็นฟ่อน ๆ ว่อนแน่