ยุ่งแต่เรื่องวัคซีนเถอะ

วันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่มีการคิกออฟฉีดวัคซีนกันทั่วประเทศ ผมภาวนาในใจว่า ‘อย่าให้มันเป็นแค่อีเว้นท์’ เพราะมันจะคึกกันแค่ช่วงจัดงานเท่านั้น พองานเลิกรา ออแกไนเซอร์เก็บข้าวของ ความเงียบจะกลับมาเยี่ยมเยือนเช่นเดิม


วันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่มีการคิกออฟฉีดวัคซีนกันทั่วประเทศ ผมภาวนาในใจว่า ‘อย่าให้มันเป็นแค่อีเว้นท์’ เพราะมันจะคึกกันแค่ช่วงจัดงานเท่านั้น พองานเลิกรา ออแกไนเซอร์เก็บข้าวของ ความเงียบจะกลับมาเยี่ยมเยือนเช่นเดิม

ก็คงจะไม่ผิดไปจากความกริ่งเกรงในใจสักเท่าไหร่นัก เพราะวันจันทร์ที่ 7 มิ.ย.เริ่มต้น ระดมฉีดกันได้ 416,847 โดส วันอังคารที่ 8 ต่อมาฉีดได้ 472,128 โดส วันพุธเริ่มแผ่ว ฉีดได้ 336,674 โดส วันพฤหัสฯ ลงมา 223,315 โดส

วันศุกร์ขยับขึ้นมา 308,012 โดส วันเสาร์ขยับลงเหลือ 108,705 โดส  วันอาทิตย์ก็เหงาอีก เหลือ 108,204 โดส วันจันทร์ที่ 14 ที่มีเสียงชยันโตกระทรวงสาธารณสุข ศบค. กทม. ยันนายกฯ ประยุทธ์รอบทิศ ยอดขยับมาที่ 323,060 โดส และ 15 มิ.ย. ยอดขยับลงมาที่ 269,632 โดส

เพราะวัคซีนไม่มา โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่มีคิวฉีดประชาชน ต้องประกาศเลื่อน เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดัน การเรียกร้องถามวัคซีนจะมาเมื่อไหร่ ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ทั้งนั้น น่าแปลกไหมล่ะ! คนปล่อยหลุด ค.ว.ย.(คอยวัคซีนอยู่) กันลั่น

กระแสความเดือดดาลขึ้นสูงถึงขั้นพล.อ.ประยุทธ์ ต้องกล่าวคำขอโทษอีกครั้ง จริงใจหรือจิงโจ้ก็ไม่รู้นะ!

ณ วันที่ 15 มิ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำเดี่ยว (ซิงเกิล คอมมานด์) ในสงครามโควิด เพิ่งจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปได้เพียง 6,780,816 โดส ครอบคลุมประชากรเพียงร้อยละ 7.5 และยังห่างไกลจากเป้าหมาย 10 ล้านโดส ภายในเดือน มิ.ย.ของรัฐบาลอยู่อีก 3,219,184 ล้านโดส

จากนี้ไป เหลืออีก 15 วัน รัฐบาลต้องฉีดวัคซีนให้ได้โดยเฉลี่ยวันละ 214,612 โดส ผิดจากนี้ไป ก็เตรียมรับชะตากรรมโดนเทล่ะครับ

ยามนี้ ไม่ว่ารัฐบาลแถลงอะไรออกมา โดยเฉพาะเรื่องวัคซีน ก็มักจะมีคำถามตามมาตลอดว่า “จะได้ฉีดกันเมื่อไหร่” เท่าที่คุยใหญ่คุยโตกันไว้จากปากพล.อ.ประยุทธ์และอนุทินว่า วัคซีนมีพอเพียงน่ะ ฟังกันมาจนชาชินแล้ว

คนเฝ้าจดจ่อสนใจว่า วัคซีนจะมาเมื่อไหร่ และเมื่อไหร่จะได้ฉีดกันมากกว่า

ในเรื่องที่พล..ประยุทธ์ทะลุกลางปล้องแทรกเข้ามาใน ‘นโยบายแก้หนี้” ที่จะมอบหมายให้แบงก์ชาติไปทบทวนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคล บัตรเครดิต และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ รวมทั้งนโยบายเพิ่มโรงรับจำนำ

ผมว่า ท่านผู้นำ อย่าไปเสียเวลาออกนอกลู่นอกทางดีกว่า แบงก์ชาติซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ เขาก็คงไม่รับทำ คงปล่อยให้กลไกตลาดทำงานไปจะดีกว่า

นอกจากนั้น ภาคเอกชนก็ยืนยันว่า ได้ทำการลดดอกเบี้ยต่ำกว่าเพดานมากอยู่แล้ว ก่อนที่ท่านผู้นำจะมาสั่ง เช่นสินเชื่อจำนำรถ ปล่อยกันแค่ 15% เท่านั้น จากเพดาน 24% หรือนาโนไฟแนนซ์ ปล่อย 26% จากเพดาน 33%

เอกชนเขาทำกันอยู่แล้ว ท่านผู้นำไปฟังใครมา ทำให้หุ้นไฟแนนซ์หุ้นแบงก์ร่วงกันโครมครามเปล่า ๆ เอาเวลาไปคอนเซนเตรทกับวัคซีนเถอะ

ใหม่ล่าสุดจากท่านผู้นำอีก ก็คือ แถลงการณ์นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 16  มิ.ย. 2564 ประกาศเปิดประเทศภายใน 120 วัน แม้ยังมีความเสี่ยงจากโรคระบาดโควิด-19 ชนิดฉีดแค่เข็มเดียว ไม่ครบ 2 เข็ม ก็จะเปิด โดยขอใหประชาชนรับความเสี่ยงภัยร่วมกัน

มันก็ดูเหมือนจะดีอ่ะนะครับ แต่ความรู้สึกท่านผู้นำ ดูจะช้าจัง เท่าที่จำได้ก่อนหน้านี้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ก็เคยเสนอแนวคิดให้อยู่ร่วมกันกับโควิดมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้น อัตราการระบาดของโลกยังอยู่ในระดับแค่ 1,000 รายเศษ

เร่งจัดหาวัคซีนมาฉีดให้เกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่”  เร็ว ๆ เสียแต่ตอนนั้น โรคร้ายก็คงไม่ระบาดบานปลาย และเศษฐกิจก็คงไม่เสียหายยับเยินเช่นทุกวันนี้

ท่านผู้นำเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ นอกจากมันจะสายมากไปแล้ว ก็ยังไม่ถูกกาลเทศะอีก ที่โรคร้ายระบาดในประเทศไทยไปมากแล้ว อยู่ ๆ จะมากำหนดเปิดประเทศภายใน 120 วัน โดยให้ประชาชนร่วมแบกรับความเสี่ยงด้วย

มันจะล่อนักท่องเที่ยวต่างชาติมาได้ด้วยหรือ ในเมื่อจะให้เขามาแบกรับความเสี่ยงด้วย รัฐบาลจีนที่เป็นเป้าหมาย เขาจะยอมให้คนของเขามาเสี่ยงกับประเทศไทย และนำเชื้อกลับไปแพร่ระบาดยังบ้านเมืองของเขาอีกหรือ

ท่านผู้นำโปรยยาหอมท้ายแถลงการณ์ว่า จัดหาวัคซีนมาได้ 105 ล้านโดสแล้ว แต่จะได้ฉีดเมื่อไหร่ ดันไม่บอก (ตามเคย) ป่านนี้ยังไม่รู้ความรู้สึกประชาชนทั้งแผ่นดินอีกหรือว่า .ว.ย.กันอยู่

คิดอะไรให้มันอยู่ในวุฒิภาวะของ “ผู้นำ” หน่อย เร่งฉีดวัคซีนให้เกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ร้อยละ 70 โดยเร็ว อย่าว่อกแว่กกับเรื่องไร้สาระมากนักเลย

Back to top button