พาราสาวะถี
ไม่ใช่อาการลนลาน แต่น่าจะเป็นความมูมมามหรือเหลิงในอำนาจมากกว่า การเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคสืบทอดอำนาจรอบนี้ จึงมีทั้งแก้ประเด็นการเลือกตั้งจากที่ตัวเองเคยตั้งข้อรังเกียจเปลี่ยนมาเป็นสนับสนุนเต็มที่ เพราะจะทำให้ตัวเองได้เปรียบไม่เสียเก้าอี้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ รวมไปเปลี่ยนเนื้อหาในมาตรา 144 และ 185 จาก “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง” เป็น “ปล่อยให้โกง” จนเกิดเสียงวิจารณ์หนาหู โดยเฉพาะจากพวกเดียวกันเอง
ไม่ใช่อาการลนลาน แต่น่าจะเป็นความมูมมามหรือเหลิงในอำนาจมากกว่า การเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคสืบทอดอำนาจรอบนี้ จึงมีทั้งแก้ประเด็นการเลือกตั้งจากที่ตัวเองเคยตั้งข้อรังเกียจเปลี่ยนมาเป็นสนับสนุนเต็มที่ เพราะจะทำให้ตัวเองได้เปรียบไม่เสียเก้าอี้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ รวมไปเปลี่ยนเนื้อหาในมาตรา 144 และ 185 จาก “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง” เป็น “ปล่อยให้โกง” จนเกิดเสียงวิจารณ์หนาหู โดยเฉพาะจากพวกเดียวกันเอง
หนักข้อถึงขนาดคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา ที่มี สังศิต พิริยะรังสรรค์ เป็นประธานต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว ไม่ยกมือหนุนร่างแก้ไขของพรรคสืบทอดอำนาจแน่ จากการเสนอให้แก้ไขสองมาตราดังกล่าว แม้ไม่ได้ทำลายหลักการ แต่มีการตัดทอนบทลงโทษส.ส. ส.ว. คณะรัฐมนตรี และข้าราชการประจำ รวมถึงตัดข้อห้ามส.ส.และส.ว. เข้ามามีส่วนในการใช้จ่ายหรืออนุมัติงบประมาณ และการเข้ามาแทรกแซงการทำงานของข้าราชการประจำ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ
ดูเหมือนว่าคำขู่ดังกล่าวนั้นได้ผล เพราะคล้อยหลังจากนั้นไม่นาน ไพบูลย์ นิติตะวัน ซามูไรกฎหมายประจำพรรคสืบทอดอำนาจ ก็ออกมาประกาศทันทีทันใดว่า จะปรับแก้เพียงแค่ถ้อยคำ และรายละเอียดเพียงเล็กน้อยใน มาตรา 144 โดยคงหลักการห้ามส.ส. ส.ว. และกรรมาธิการแปรญัตติงบประมาณเพื่อประโยชน์ตนเอง แต่จะกำหนดให้สิทธิเพียงการเสนอแนะความเห็นเท่านั้น ขณะที่มาตรา 185 ยืนยันจะคงไว้ตามเนื้อหาเดิม เพียงแค่ขอเพิ่มบทยกเว้นว่า เป็นไปเพื่อช่วยเหลือประชาชน
เหตุที่ต้องใส่เกียร์ถอยเช่นนี้ เป็นเพราะหากส.ว.กลุ่มนี้เอาจริง ซึ่งอาจจะรวมไปถึงส.ว.เสียงส่วนใหญ่ด้วย มันจะส่งผลให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคสืบทอดอำนาจจากที่จะผ่านแบบแบเบอร์ กลายเป็นถูกตีตกไปทันที เพราะการแก้ไขในสองมาตราดังกล่าวนั้น ถูกร่างรวมอยู่ใน 5 ประเด็นใหญ่ในญัตติของพรรคแกนนำรัฐบาล นั่นหมายความว่า การที่ส.ว.ในคณะกรรมาธิการชุดนี้ออกมาแสดงจุดยืนในการแก้ไข 2 มาตราดังกล่าว การลงมติที่จะออกมาย่อมมองเห็นทิศทางว่าเป็นอย่างไร
ส่วนข้ออ้างของซามูไรกฎหมายที่บอกว่านำเนื้อหามาจากรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และ แนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ชุดที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน โดยเป็นความเห็นของส.ส.ที่ต้องการให้แก้ไข ซึ่งตนเข้าใจว่าส.ว.ไม่ได้ร่วมพิจารณาในชั้นกรรมาธิการดังกล่าว และความเห็นที่ไม่เห็นด้วยถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมนั้น จึงไม่น่าจะฟังได้ เพราะความจริงส.ส.ปัดเศษรายนี้ก็ไม่เคยเห็นด้วยกับผลศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดดังว่าอยู่แล้ว
มันจึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากความมักมากและหวังผลที่จะเอาเปรียบคู่แข่งในการเลือกตั้งครั้งหน้ามากกว่า การเดินเกมกันแบบนี้เหมือนกับการไม่ไว้หน้าคนที่ยกร่างรัฐธรรมนูญด้วยความภาคภูมิใจอย่าง มีชัย ฤชุพันธุ์ และคณะแม้แต่น้อย การประกาศว่าร่างขึ้นมาเพื่อปราบโกง แต่นักการเมืองพรรคสืบทอดอำนาจกลับจะโละทิ้งหลักการนี้ สมชัย ศรีสุทธิยากร ตีได้ตรงจุด เรื่องราวที่สภาออกกฎหมายนิรโทษกรรมตอนตีสี่ในอดีตกลายเป็นเด็ก ๆ ไปเลยเมื่อถูกการซุ่มแก้สองมาตรานี้ของพรรคสืบทอดอำนาจ
คงต้องยอมรับความเป็นจริงเหมือนอย่างที่คอยเตือนมาตลอดว่า จะเชื่อถืออะไรได้กับคนที่ไม่เคยพูดความจริงแม้แต่เรื่องเดียว ตั้งแต่การคืนความสุขให้คนไทยซึ่งผ่านไปกว่า 7 ปีแล้วยังหากันไม่เจอ เช่นเดียวกับการตระบัดสัตย์เรื่องการเลือกตั้งให้เร็วหลักรัฐประหาร ถึงขนาดที่พูดปดกับผู้นำต่างประเทศมาหลายเวที ยิ่งมาเจอสถานการณ์โควิด-19 ประเด็นการบริหารจัดการวัคซีนเป็นตัวชูโรงที่เด่นชัดยิ่งว่า พรรคการเมืองที่เคยได้ชื่อว่าปลาไหลใส่สเก็ตในอดีตต้องยอมซูฮกในความกลับกลอกของคณะสืบทอดอำนาจกันเลยทีเดียว
คำถามตัวโตที่เกิดขึ้นจากถ้อยแถลงของ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขต่อการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนกาก็คือ สรุปแล้วเอาไงแน่ และนี่ก็เป็นการเผยธาตุแท้ที่อรชุนเคยพูดมาโดยตลอดว่ามีหมอการเมือง เพราะเดิมทีหลังจากที่เลื่อนการฉีดวัคซีนยี่ห้อนี้เข็มสองให้กับประชาชนโดยทั่วไปก็อ้างว่า โดยหลักวิชาการแล้ว สามารถยืดระยะเวลาจากการฉีดเข็มแรกจากผลศึกษาที่ต้องห่างกัน 10-12 สัปดาห์ไปได้นานถึง 16 สัปดาห์
แต่ปรากฏภาพของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจดอดไปจิ้มเข็มสองในวันเดียวกันกับที่กระทรวงคุณหมออ้างเรื่องของการยืดเวลาฉีดเข็มสองออกไป ซึ่งครั้งนั้นก็รู้กันอยู่แล้วว่าวัคซีนม้าตัวเดียวไม่มาตามนัด จนกระทบเป็นลูกโซ่มาจนถึงทุกวันนี้ แต่ล่าสุด ปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ออกมาบอกโดยอ้างมติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติอีกว่า ในพื้นที่ระบาดหนักสามารถขยับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนกาเข็มที่สองให้เร็วขึ้นเป็น 8 สัปดาห์ได้
สรุปแล้ววัคซีนสัญญาณผู้ดีตัวนี้กลายเป็นตัวตลกในประเทศไทย ดิ้นไปเรื่อยเพื่อสนองความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารจัดการของผู้มีอำนาจ แต่อย่าลืมเป็นอันขาดว่าขณะที่จะเร่งฉีดเข็มสองให้เร็วขึ้นในพื้นที่ระบาดหนักซึ่งคงหมายถึงกรุงเทพมหานครเป็นหลักนั้น พื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงเหมือนกันแม้จะไม่ได้อยู่ในสีแดงเข้มอย่างสมุทรสาคร ผู้คนที่นั่นไม่ว่าจะข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนและประชาชน ถึงขั้นติดแฮชแท็กทวงคืนวัคซีนกันทั้งจังหวัด
มากไปกว่านั้นคือ มีการส่งประธานสภาอุตสาหกรรมและประธานหอการค้าของจังหวัดมาบุกยื่นหนังสือถึงทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่จะได้รับคำชี้แจงจากผู้อำนวยการศปก.ศบค.น้องรักของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่า วัคซีนที่จัดสรรไว้ให้สมุทรสาครจากเดิมที่ขอมา 3 แสนกว่าโดสเหลือ 7 หมื่นโดสเป็นแค่เพียงร่างหลักเกณฑ์ยังไม่ใช่บทสรุป ถ้าชักเข้าชักออกกันแบบนี้ก็ระวังไว้ให้ดีจะมีอีกหลายจังหวัดที่จะลุกขึ้นมาทวงถามกันแบบนี้บ้าง ทำงานแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดก็เท่ากับการบริหารแบบเฮงซวยนั่นเอง