พาราสาวะถี
เป็นผู้นำที่ชอบการจัดฉากเป็นชีวิตจิตใจ ตั้งแต่คราวที่เกณฑ์คนมาแล้วมีคนบอกจังหวะในการปรบมือจนสร้างความอับอายขายขี้หน้าไปทั่วมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเหนียก ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติของโควิด-19 ที่หนักหน่วงรุนแรงอยู่เวลานี้ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่เดินทางไปเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็ยังอารมณ์สุนทรีย์ป่าวประกาศกับประชาชีที่นั่นว่า "วันนี้ผมมาภูเก็ตอารมณ์ดีมาตลอด นั่งบนเครื่องก็ถ่ายรูปมาตลอด เมฆฟ้าทะเลสวย ลงพื้นที่ได้รับการต้อนรับดียิ้มแย้มแจ่มใสผมก็มีความสุข"
เป็นผู้นำที่ชอบการจัดฉากเป็นชีวิตจิตใจ ตั้งแต่คราวที่เกณฑ์คนมาแล้วมีคนบอกจังหวะในการปรบมือจนสร้างความอับอายขายขี้หน้าไปทั่วมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเหนียก ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติของโควิด-19 ที่หนักหน่วงรุนแรงอยู่เวลานี้ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่เดินทางไปเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็ยังอารมณ์สุนทรีย์ป่าวประกาศกับประชาชีที่นั่นว่า “วันนี้ผมมาภูเก็ตอารมณ์ดีมาตลอด นั่งบนเครื่องก็ถ่ายรูปมาตลอด เมฆฟ้าทะเลสวย ลงพื้นที่ได้รับการต้อนรับดียิ้มแย้มแจ่มใสผมก็มีความสุข”
เป็นการเสพความสุขเฉพาะหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ระทมที่อยู่ในใจ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเครียดอย่างผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหรือไม่ไม่รู้ แต่การที่แห่แหนกันไปเพื่อสร้างภาพผ่านภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ของคณะผู้บริหารทุกระดับ โดยที่ตัวเลขของผู้ติดเชื้อในวันเดียวกันนั้นสูงถึง 5,533 ราย และเสียชีวิตถึง 57 ราย ทำให้ท่านผู้นำถูกตั้งคำถามว่า ผู้บริหารมารวมกันอยู่ที่นี่ขณะที่กรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิตจำนวนเพิ่มขึ้น คำตอบที่ได้รับก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย “อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้”
ถ้าให้ไปถามประชาชนส่วนใหญ่ก็คงจะบอกว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความหมาย เพราะการแก้ไขปัญหาและการบริหารจัดการนั้นมันผิดพลาดล้มเหลวมาโดยตลอดอยู่แล้ว โดยเฉพาะกรณีของวัคซีน ที่มาถึงวันนี้สิ้นเดือนมิถุนายนไปแล้ว วัคซีนหลักม้าตัวเดียวที่ติดขัดมาต่อเนื่องนั้น มีการส่งมอบครบ 6 ล้านโดสแล้วหรือไม่ และอย่าออกลูกมั่วนำวัคซีนที่ญี่ปุ่นบริจาคมาให้กว่า 1 ล้านโดสเป็นสต๊อกที่แอสตร้าเซเนกาจะต้องส่งมอบให้ด้วยก็แล้วกัน
ความมั่นใจต่อการบริหารจัดการวัคซีนของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ร่วมกับบรรดาคณะที่ปรึกษาทั้งหลาย ยิ่งพวกหมอการเมืองนั้น คงจะได้รับความไว้วางใจยาก เห็นได้จากการที่ภาคีบุคลากรสาธารณสุข และ บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ร่วมกันเปิดแคมเปญล่าชื่อ เรียกร้องให้รัฐบาลนำเข้าวัคซีน mRNA อย่างเร่งด่วน เพราะกังวลว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดในประเทศไทยจะแย่ลง วัคซีนที่มีไม่รองรับสายพันธุ์เดลต้าอินเดีย
ที่น่าสนใจคือมีบุคลากรด้านการแพทย์ร่วมลงชื่อกว่า 15,000 รายชื่อแล้ว นั่นย่อมสะท้อนภาวะความล้มเหลวต่อการบริหารจัดการวัคซีนอย่างสิ้นเชิง ทว่าความหน้าด้านของขบวนการสืบทอดอำนาจนั้นมันมีมากกว่า จึงได้เห็นการโยนภาระความผิดทั้งหลายไปให้แต่ละส่วนแต่ละฝ่ายมั่วซั่วไปหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งกรณีของการแพร่ระบาดของโควิดที่เริ่มขยายตัวจาก 10 จังหวัดสีแดงเข้มไปยังจังหวัดเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ได้ฟังจากทีมโฆษกศบค.ก็คือ เพราะประชาชนพากันหนีกลับไปต่างจังหวัด
ทั้งที่ปรากฏการณ์ผึ้งแตกรังอันเป็นผลมาจากการประกาศปิดแคมป์คนงานเมื่อวันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน แต่มีผลทางปฏิบัติเอาวันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน ทำให้ขาดมาตรการป้องกันการเคลื่อนย้ายคนครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นความหละหลวมอย่างใหญ่หลวงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและบรรดาคณะที่ปรึกษาทั้งหลาย กลับโยนความผิดไปที่ประชาชน ที่สะท้อนภาพความหน้าทนอย่างไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง เพราะสรุปแล้วพวกข้าไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่ต้องแสดงความผิดรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
เช่นเดียวกันกับกรณีของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ท่ามกลางข้อห่วงใยของหลายฝ่าย ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ยังกล้าโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อ้างว่าแม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยง อย่างตอนนี้ในบางประเทศ ทั้งในประเทศใหญ่ และประเทศที่เป็นประเทศเป้าหมายที่น่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย เริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อ และจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มกลับขึ้นมาอีก แต่จำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยงบ้าง โดยอ้างเป้าหมายใหญ่ที่จะต้องเปิดประเทศให้ได้ภายใน 120 วัน
ท่ามกลางสถานการณ์ในประเทศที่วิกฤติขึ้นต่อเนื่อง และต่างประเทศก็มีแนวโน้มว่าไม่ได้ทุเลาเบาบางลง ทำไมผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกลับยืนกระต่ายขาเดียว ถึงบางอ้อต่อความมั่นใจที่เป็นเช่นนั้น หลังจากฟัง แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศบค.ยืนยัน ตัวเลข 120 วันไม่ใช่การตัดสินใจของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีการหารือกับคณะกรรมการ คณะทำงาน อาจารย์แพทย์ หลายภาคส่วนก่อนจะประกาศออกมา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าอาจารย์แพทย์ทั้งหลายที่อยู่ข้างกายท่านผู้นำนั้นเชื่อมั่นเช่นนั้นจริงหรือ
เพราะในทางการข่าวก่อนหน้านี้มีการบอกว่า บรรดาคณะที่ปรึกษาทั้งหลายต่างตกใจที่ผู้นำเผด็จการไปประกาศว่าจะเปิดประเทศตามระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากยังไม่ได้มีการหารือร่วมกับฝ่ายใด แต่ก็อีกนั่นแหละเมื่อใช้หน่วยงานด้านความมั่นคงมาเป็นตัวหลักในการกำหนดทิศทางแล้วให้บรรดาหมอการเมืองทั้งหลายมาเป็นผู้ตาม เพื่อวางแผนให้เป็นไปอย่างที่อยากจะได้ ทิศทางของการบริหารจัดการมันจะออกมาอย่างที่เห็น ไม่ต้องถามถึงการยอมรับที่ยืนระยะอยู่ได้เพราะใช้อย่างหนาและองคาพยพที่ตั้งมากับมือคอยอุ้มสมเท่านั้น
คนส่วนใหญ่ทั้งประเทศคงมีความรู้สึกเดียวกันกับ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “เราคงไม่เรียกว่าระลอก 4 เพราะระลอก 3 ยังคุมไม่ได้ ตอนนี้มี เดลต้า เบต้า น่าจะเรียกว่าระลอก 3 เสริมพิเศษหรือระลอก 3 ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ว้าเหว่” ต้องบวกวังเวงเข้าไปด้วย เพราะดูท่าว่าแนวทางการรับมือของฝ่ายกุมอำนาจยังสะเปะสะปะเช่นเดิม
ที่ยอมรับกันว่ามีการกระจายเชื้อไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่กทม.และปริมณฑลวิกฤต เพราะมีคนที่นอนรอโรงพยาบาลทั้งที่รู้ว่าเป็นแล้วหรือน่าจะเป็น แต่ตรวจไม่ได้เพราะไม่มีที่ตรวจเนื่องจากโรงพยาบาลไม่รับตรวจ เพราะถ้าตรวจแล้วต้องรับก็รับไม่ได้เพราะเตียงไม่มี คนป่วยเหล่านี้ไม่มีอะไรช่วยนอกจากรอเตียงและสวดมนต์ ถามว่า มีความชัดเจนอะไรจากรัฐบาลในการผ่าทางตันแก้วิกฤตเหล่านี้หรือไม่ นอกจากตีกรรเชียงแก้ต่างแก้ตัวไปวัน ๆ นี่แหละที่เขาว่า “เฮงซวยของจริง”