หุ้นโรงพยาบาล
มีคำถามว่าหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล (รพ.) ยังน่าสนใจหรือเปล่า
มีคำถามว่าหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล (รพ.) ยังน่าสนใจหรือเปล่า
คำตอบคือ หากเป็นช่วงระยะสั้นถึงกลางถือว่า “ยังน่าสนใจ”
และเท่าที่ดูความเห็นจากนักวิเคราะห์ต่างก็มองว่า ยังพอที่จะเข้าลงทุนได้ หากราคาหุ้นมีการย่อตัวลงมา
นั่นเป็นโอกาสดีต่อการทยอยซื้อ
ส่วนระยะยาว เช่น 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นกลุ่มฯ นี้ อาจจะมีผลประกอบการย่อตัวลงมา หรือกำไรสุทธิจะเติบโตลดลง
เหตุผลเพราะว่า นับจากปี 2563 มาถึง 2564
หุ้น รพ.จะมีผลกำไรเติบโตอย่างโดดเด่นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่จะมีรายได้ทั้งการตรวจหาเชื้อ การรักษา การฉีดวัคซีน และการตรวจค้นหาภูมิ รวมถึงรายได้อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับโควิด
กำไรในช่วง 1-3 ปีนี้จึงน่าจะกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนหลังจากนั้น
หรือเมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น
รายได้จากการตรวจ การรักษา ฯลฯ น่าจะค่อย ๆ ทยอยปรับลง และอาจจะทำให้กำไรไม่ได้เติบโตโดดเด่นเหมือนกับช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์อย่างเช่นในขณะนี้
ล่าสุด จากการเข้าไปส่องราคาหุ้น รพ. ที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนจากสิ้นปี 2563 มาจนถึงเมื่อวานนี้ (5 ก.ค.2564)
เช่น ราคาหุ้น BCH : บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) วิ่งขึ้นมาแล้ว 73.52% พี/อี 45 เท่า
BDMS : บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ราคาปรับขึ้นมา 13.46% พี/อี 62 เท่า
BH : บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) ราคาปรับขึ้นมา 7.08% พี/อี 192 เท่า
CHG : บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) ราคาปรับขึ้นมา 64.22% พี/อี 47 เท่า
THG : บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ราคาปรับขึ้นมา 11.65% พี/อี 0.00 เท่า เนื่องจากไตรมาส 1/2564 ขาดทุนกว่า 212 ล้านบาท
EKH : บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) ราคาปรับขึ้นมา 41.56% พี/อี 44 เท่า
VIBHA : บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน) ราคาปรับขึ้นมา 67.34% พี/อี 64 เท่า
RPH : บริษัท โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (มหาชน) ราคาลดลง 4.50% พี/อี 34 เท่า
IMH : บริษัท โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ จำกัด (มหาชน) ราคาปรับขึ้นมา 225% พี/อี 0.00 เท่า เนื่องจากปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 16.5 ล้านบาท และไตรมาส 1/2564 ขาดทุน 14.85 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/2564 คาดว่าจะพลิกกลับมากำไร และเป็นกำไรแบบ new high
จะเห็นว่า ราคาหุ้นต่างวิ่งกันขึ้นมาค่อนข้างสูงมาก
พี/อี เรโช ต่างอยู่ระดับสูงด้วยเช่นกัน
ส่วนอัตราผลตอบแทนเงินปันผล หรือ dividend yield ก็ไม่ได้สูงมาก หรือ 2% กว่า ๆ ส่วนบางแห่งเหลือไม่ถึง 1%
มีข้อมูลน่าสนใจเพิ่มเติมที่น่าจะเป็นผลบวกระยะสั้นถึงกลางกับหุ้นกลุ่ม รพ. และอาจจะเป็นอัพไซด์ได้อีก
นั่นคือ บล.โนมูระฯ มีการคำนวณรายได้จากการฉีดวัคซีนโมเดอร์นา ของหุ้นกลุ่ม รพ.ออกมา
มีการระบุว่า วัคซีนทางเลือก “โมเดอร์นา” ของ รพ.เอกชน มีความต้องการสูง
ทำให้ประมาณการกำไรปี 2565 ของโรงพยาบาลอาจเกิดอัพไซด์ได้อีกจากการฉีดวัคซีนฯ
พร้อมยกสมมติฐานการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาของทุกโรงพยาบาลที่ศึกษาในไตรมาส 4/2564 จำนวน 1 แสนโดส
และปี 2565 ที่จำนวน 4 แสนโดส
เบื้องต้นประเมินการให้บริการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเพิ่มขึ้นทุก 1 แสนโดส จะมีผลบวกต่อกำไรสุทธิปีหน้า ของ BDMS ราว 1%
บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH และ BCH ราว 3%
บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG ราว 4%
และบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ราว 13%
ส่วนสถานการณ์หลังโควิด-19 กลุ่ม รพ.จะมีสตอรี่ใหม่ ๆ เข้ามาสนับสนุนหรือไม่ เช่น กลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่เริ่มกลับมา
นั่นก็ต้องไปลุ้นกันอีกครั้ง