KTB-SCBลูบคมตลาดทุน
ข่าวร้ายสำหรับหุ้นแบงก์กรุงไทย (KTB) และไทยพาณิชย์ (SCB)ยังไม่จบ
ธนะชัย ณ นคร
ข่าวร้ายสำหรับหุ้นแบงก์กรุงไทย (KTB) และไทยพาณิชย์ (SCB)ยังไม่จบ
เพราะล่าสุดสถาบันจัดอันดับความน่าชื่อถือ มูดี้ส์ฯ ออกมาบอกว่า จะปรับลดอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 2 แห่ง
วานนี้หุ้นเลยถูกทิ้งซะเลย
KTB ราคาลงมาปิดระดับต่ำสุดของวัน 16.80 บาท
และนี่เป็นราคาที่ลงมาต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือนครึ่งด้วยนะ
ส่วน SCB ราคาหุ้นก็ลงมาปิดระดับต่ำสุดของวันเช่นกัน คือ 136 บาท
แต่ราคาดังกล่าวก็ยังถือว่าสูงกว่าในช่วงที่มีการแถลงข่าวยอมรับว่ามีปัญหาเรื่องการปล่อยกู้ให้กับ SSI และ SSIUK ที่ราคาลงไปต่ำสุด 135 บาท
ผมดูบทวิเคราะห์ของโบรกฯ มาครับ
คำตอบที่ได้รับคือ มีทั้งคำแนะนำให้ซื้อ ถือ ขาย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังดีหน่อย คือ ให้ “ซื้อ” กับ “ถือ” ไว้ได้อยู่
มีนักวิเคราะห์บางคนเท่านั้น ที่แนะนำให้ขาย แล้วไปถือ กสิกรไทย หรือ KBANK แทน
อย่างที่เรารับทราบกันว่า อย่างของ SCB นั้น แนวทางแก้ปัญหานำเงินมาตั้งสำรองหนี้ในส่วนที่ยังขาดอยู่กว่า 1.1 หมื่นล้านบาทนั้น ก็จะมาจากการขายหลักทรัพย์ออกไป
ล่าสุด SCB ขายหุ้นกว่า 9 ล้านหุ้น (ให้สำนักงานทรัพย์สินฯ) ในปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ออกไปแล้ว
ราคาขายออกไป 491 บาท สูงกว่าในกระดานซะด้วย
การขายหลักทรัพย์ส่วนนี้ SCB ได้เงินมาราวๆ 4.5 พันล้านบาท
เข้าใจว่า SCB จะขายหลักทรัพย์ตัวอื่นๆ ออกมาอีก (ซึ่งน่าจะขายไปแล้ว) เพื่อที่จะได้เงินมาซัก 7-8 พันล้านบาท ตามที่เขาได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ไว้
ป่านนี้น่าจะได้ครบแล้วล่ะ
เงินส่วนที่เหลือ ก็น่าจะดึงมาจากกำไรที่เกิดขึ้นในไตรมาส 3 นี้
หากย้อนกลับไปดูกำไรสุทธิของ SCB ในไตรมาส 3 ของปี 2557 พบว่ามีกำไรกว่า 1.35 หมื่นล้านบาท
ผ่านมาถึงวันนี้ ผมยังไม่เห็นมีโบรกฯ แห่งไหนประมาณการกำไรสุทธิของ SCB ในไตรมาส 3 นี้ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็เชื่อแน่ว่า น่าจะลดลงนั่นแหละ
ส่วนตัวเลข Coverage Ratio ก็จะลงมาเหลือ 110% จาก 135%
ด้านกรุงไทยนั้น ไตรมาส 3 ปี 2557 มีกำไรสุทธิประมาณ 9.5 พันล้านบาท
ทางแก้ปัญหาของกรุงไทย ก็จะนำเงินสำรองส่วนเกินมาตั้งเป็นสำรองหนี้ของ SSI และนั่นจะทำให้ Coverage Ratio ลงมาเหลือราวๆ 100%
แน่นอนว่า ตัวเลขสำคัญทางการเงินนี้ ผู้บริหารของธนาคารทั้ง 2 แห่ง ย่อมไม่พอใจ
และนั่นจะทำให้ต้องนำกำไรสุทธิในไตรมาสต่อๆ ไป มาตั้งสำรองเพิ่ม เพื่อดันตัวเลข Coverage Ratio ให้สูงขึ้นเท่าของเก่า หรือใกล้เคียงที่สุด
กำไรสุทธิในปี 2558 จึงต้องถูกปรับลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ส่วนเงินกองทุนนั้น มีการวิเคราะห์กันแล้วว่า จะกระทบเพียง 0.5%
แบงก์ทั้ง 2 แห่ง(รวมถึง TISCO) จะไม่ต้องเพิ่มทุน
จริงแล้วนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองหุ้นทั้ง 3 ตัวในด้านบวก และแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลงมา
แต่เป็นคำแนะนำสำหรับนักลงทุนระยะกลาง ไปถึงยาวนะ
ใครเล่นสั้น ซื้อขายวันต่อวัน ให้ไปซื้อตัวอื่น
มีประเด็นที่น่าสนใจครับ
ปัญหาของ SSIUK นั้น มีข่าวออกมาอยู่ตลอดตั้งแต่ปี 2557 แล้ว
กระทั่งผ่านมาถึงปี 2558 ก็ยังมีข่าวอยู่เรื่อยๆ ว่า SSI UK จะมีปัญหา แต่ก็ไม่แน่ใจว่านายแบงก์เจ้าหนี้ทั้งหมดนั้นพอจะรับทราบข่าวนี้หรือไม่
เพราะเมื่อกลับไปดูการให้สัมภาษณ์กันก่อนหน้านี้ ก็จะบอกเป็นเชิงว่า ไม่น่าจะมีตั้งสำรอง(พิเศษ) มากนักในปีนี้
หรือว่ามันนอกเหนือจากคาดการณ์จริงๆ