พาราสาวะถี
รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้แต่ต้องวัดใจด้วยการโยนหินถามทาง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจโพล่งกลางที่ประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา “พวกคุณจะทิ้งผมก็ตามใจ” สุดท้ายสองพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญโดยเฉพาะภูมิใจไทยทั้ง อนุทิน ชาญวีรกูล และ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ หัวหน้าและเลขาธิการพรรค รีบออกมายืนยันไม่คิดทิ้งท่านผู้นำและจะอยู่ร่วมกันจนครบวาระ ก็หวังว่าจะอยู่กันได้ยาวถึงขนาดนั้น และก็เข้าใจด้วยว่ามันต้องกอดคอไปด้วยกันเมื่อผลงานห่วยขนาดนี้ตีตัวออกห่างไปก็ไม่เกิดประโยชน์
รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้แต่ต้องวัดใจด้วยการโยนหินถามทาง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจโพล่งกลางที่ประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา “พวกคุณจะทิ้งผมก็ตามใจ” สุดท้ายสองพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญโดยเฉพาะภูมิใจไทยทั้ง อนุทิน ชาญวีรกูล และ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ หัวหน้าและเลขาธิการพรรค รีบออกมายืนยันไม่คิดทิ้งท่านผู้นำและจะอยู่ร่วมกันจนครบวาระ ก็หวังว่าจะอยู่กันได้ยาวถึงขนาดนั้น และก็เข้าใจด้วยว่ามันต้องกอดคอไปด้วยกันเมื่อผลงานห่วยขนาดนี้ตีตัวออกห่างไปก็ไม่เกิดประโยชน์
สู้อยู่ต่อไปแม้จะทำคะแนนเสียงให้ดีขึ้นไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะอย่างอื่นที่ดีกว่าถ้าไม่รีบตักตวงกันเวลานี้ ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาชูคออยู่ในอำนาจอีกหรือไม่ การใช้วิธีตีกิน โยนบาปให้เพื่อนเป็นเรื่องธรรมดาทางการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจ ขอกันกินมากกว่านี้ แต่ด้วยสถานการณ์ที่ดำเนินไปต้องวัดใจประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศจะอดทนกันได้มากพอหรือไม่ ภาพคนตายกลางถนนในเมืองหลวงนานหลายชั่วโมงกว่าจะมีคนมาเก็บ ไม่คิดว่าจะได้เห็นก็เกิดขึ้นแล้ว
มาถึงตรงนี้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจรู้ดีอยู่แก่ใจ ป่วยการที่จะไปแก้ตัวเรื่องวัคซีน การไม่มีเตียงรักษาคนป่วย สู้โยนไปให้เป็นของหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ออกหน้ารับกันไปก็สิ้นเรื่อง ส่วนตัวเองก็หันไปดิ้นด้วยประเด็นอื่น เช่นการเรียกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องหารือเพื่อหามาตรการในการช่วยเหลือผู้ปกครองและนักศึกษาต่อปัญหาค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลไปยันมหาวิทยาลัยดีกว่า ว่าแล้วจึงมีคำสั่งออกมาให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ
ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่าสั่งไปแล้วทำได้หรือไม่ ในกรณีของสถานศึกษาของรัฐคงไม่เป็นปัญหา แต่ว่าในส่วนของภาคเอกชนในทุกระดับตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัย จะตอบรับมาตรการที่ออกมาหรือไม่ ก็น่าเห็นใจที่ภาคเอกชนเหล่านี้ต่างก็ได้รับความเดือดร้อนไม่แตกต่างจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง จึงจะมีการหาช่องเพื่อให้ตัวเองเจ็บตัวน้อยที่สุด สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้ฝ่ายผู้ปกครองไปดิ้นรน เรียกร้องจากสถานศึกษาเอาเองว่าจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
อย่างที่เห็นคำสั่งของ ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่ออกไปก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่ามุ่งไปที่การบริหารจัดการของโรงเรียนภาครัฐ ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ส่งบุตรหลานเรียนในโรงเรียนเอกชนแม้แต่น้อย รู้และเห็นกันอยู่ว่าความเดือดร้อนที่กองอยู่ตรงหน้าคืออะไร การเรียนการสอนโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลไม่ได้เป็นการไปเรียนที่โรงเรียน แต่ค่าเล่าเรียนที่จัดเก็บก็ยังมีการเล่นแร่แปรธาตุกันอยู่
กรณีแบบนี้จะปล่อยผ่านให้ไปจัดการกันเองระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครองคงลำบาก หากมีหน่วยงานที่กำกับดูแลแต่ทำอะไรไม่ได้ อ้างอย่างเดียวว่าขึ้นอยู่กับระเบียบปฏิบัติของสถานศึกษาแต่ละแห่ง ก็ควรที่จะยุบทิ้งหน่วยงานนั้นไปเสีย ปล่อยให้ภาคเอกชนไปบริหารจัดการกันเอง ทำอะไรได้ตามใจชอบ หากจะช่วยเหลือต้องดูแลกันทั้งระบบ ให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ในยามนี้ไม่ต้องมีคำถามว่าใครเดือดร้อนมากเดือดร้อนน้อย เชื่อได้ว่ามีผลกระทบกันทุกคน
บนความเจ็บป่วยและความตายรายวันที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จากสถานการณ์โควิด พวกที่เป็นกองเชียร์เผด็จการสืบทอดอำนาจชนิดไม่ลืมหูลืมตา ก็แสดงออกถึงความเป็นคนอำมหิต จิตใจเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อบุคคลซึ่งเห็นต่างไปจากตัว ดังเช่นกรณีของ เหรียญทอง แน่นหนา หมอนกหวีดที่ประกาศไม่รับคนติดเชื้อโควิด-19 จากการไปร่วมม็อบไล่รัฐบาล หากพิจารณาจากปูมหลังของตัวเองก็พอเข้าใจได้ แต่ในฐานะความเป็นหมอตรรกะเช่นนี้ไม่น่าจะมีในหัวสมอง
ไม่ต่างกันกับลูกพี่นกหวีด สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สนับสนุนความเห็นของ ชัยชาญ ถาวรเวช อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ระบุเกิดเป็นคนไทยโชคดีที่สุด พลเมืองมีอิสระเสรี ขอให้รักกัน เมื่อย้อนกลับไปดูความเคลื่อนไหวของอธิการบดีรายนี้มีวีรกรรมคือนำหน้าคณาจารย์ไปร่วมการชุมนุมเป่านกหวีดกับกปปส. จนกระทั่งได้นั่งในตำแหน่งมายาวนานตราบทุกวันนี้ อยู่มาคู่กับรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ ซึ่งก็ไม่ต่างจากผู้บริหารอีกหลายสถาบันที่ยังคงมืดบอดด้านปัญญายกหางขบวนการสืบทอดอำนาจออกนอกหน้า
จึงไม่แปลกที่จะมีศิษย์เก่าของสถาบันแห่งนี้ออกมาตั้งคำถามกลับไปยังอธิการบดีรายนี้ ยังไม่สำเหนียกอีกหรือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมสร้างเงื่อนไขในการทำรัฐประหารของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ พาบ้านเมืองสู่การเป็นประเทศที่ความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก เอื้อนายทุนใหญ่ให้มีอำนาจเหนือการแข่งขันเสรี ครอบครองปัจจัยการผลิตพื้นฐานไปจนถึงปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต โดยออกกฎหมายที่เอื้อให้เกิดความเหลื่อมล้ำหลายฉบับ จนโครงสร้างเศษฐกิจ พังพินาศ คนธรรมดาสามัญไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้
แม้ในวิกฤติโควิด-19 ประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการบริหารที่ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าของรัฐบาล หายนะที่มองเห็นตรงหน้าจนเป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสังคม แต่อธิการบดีคาบนกหวีดรายนี้ก็ยังยืนยันความคิดในการสนับสนุนรัฐบาลนี้ ต่อสู้กับนักศึกษาของตัวเอง แม้นักศึกษาเพียรพยายามพูดคุยด้วยเหตุผล บุคคลรายนี้ก็มีท่าทีสวนทางตลอดเวลาดังที่ปรากฎเป็นข่าวก่อนหน้า โดยลืมมองไปว่าแม้กระทั่งรัฐธรรมนูญที่ตัวเองร่างมากับมือว่าปราบโกงยังปล่อยให้โกงกันสะบั้นหั่นแหลก
การไม่ตระหนักเช่นนี้ อยากให้ย้อนกลับไปฟังคำอภิปรายของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมาในสภา “อยากฝากไปยังผู้มีอำนาจทุกคนที่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถเหนี่ยวรั้งเข็มนาฬิกาไว้ได้ ขออวยพรให้มีอายุยืนเพียงพอที่จะเห็นความพยายามของท่านล่มสลายไม่มีชิ้นดี ได้เห็นความต้องการของท่านถูกบดขยี้ด้วยกงล้อของเวลาที่เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และได้มีโอกาสรับรู้กับตาของท่านเองว่า ผู้คนและยุคสมัยจะตราหน้าพวกท่านว่าอย่างไรไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติเรา”
ขณะที่ประเด็นวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารวิกฤติของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว ล่าสุดกับการมอบหมายให้รัฐมนตรีแต่ละคนรับผิดชอบนำประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 กลับไปรักษาตัวในพื้นที่ภูมิลำเนาของตัวเอง ทั้งที่ปัญหาในพื้นที่ก็หนักหน่วงอยู่แล้ว เหมือนที่หมอสาวคนหนึ่งโพสต์เดือด “…ตัวไหนที่มันบอกว่าเตียงเพียงพอ…. …มาคุยกับ…หน่อยค่ะที่ไหนคะ…จะได้ส่งผู้ป่วยไปค่ะ” สิ่งที่สั่งเรื่องการเมืองหรือไม่ไม่รู้ที่รู้คือหลายพื้นที่ไม่ยินดีแต่ต้องจำใจเพราะใบสั่งการเมือง