พาราสาวะถี
ลงทุนนำทีมรองปลัดและอธิบดีทุกกรมในสังกัดแถลงข่าวใหญ่โต นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปกป้องบรรดาคณาจารย์แพทย์ที่ปรึกษาของกระทรวงยืนยันว่า ทุกคนเป็นอิสระไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายหรือการจัดซื้อ จัดหาเวชภัณฑ์และวัคซีนแต่อย่างใด ความจริงคนส่วนใหญ่ก็เข้าใจเช่นนั้น เพราะหากบรรดาคณาจารย์เหล่านั้นมีส่วนจริง ผลลัพธ์ที่ออกมาของการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 และการจัดหาวัคซีนคงไม่เป็นอย่างที่เห็น
ลงทุนนำทีมรองปลัดและอธิบดีทุกกรมในสังกัดแถลงข่าวใหญ่โต นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปกป้องบรรดาคณาจารย์แพทย์ที่ปรึกษาของกระทรวงยืนยันว่า ทุกคนเป็นอิสระไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายหรือการจัดซื้อ จัดหาเวชภัณฑ์และวัคซีนแต่อย่างใด ความจริงคนส่วนใหญ่ก็เข้าใจเช่นนั้น เพราะหากบรรดาคณาจารย์เหล่านั้นมีส่วนจริง ผลลัพธ์ที่ออกมาของการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 และการจัดหาวัคซีนคงไม่เป็นอย่างที่เห็น
เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขณะนี้ต้องยอมรับความจริงว่าสิ่งที่เป็นปัญหาเพราะบรรดาหมอการเมืองทั้งหลายนั่นแหละ ที่คอยแต่เอาใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและตามใจฝ่ายการเมืองที่คุมการบริหารภายในกระทรวง แน่นอนว่า เป้าหมายทั้งหมดคือหวังผลทางการเมืองโดยเฉพาะพื้นที่ฐานเสียงของแต่ละฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่กุมอำนาจบริหารให้คุณ ให้โทษ เห็นกันอยู่ว่าหลายเหตุการณ์ทำไปเพื่อคะแนนเสียงของตัวเองในอนาคต แต่ชัดเจนเหลือเกินว่าไม่เกรงใจฝ่ายปฏิบัติหรือนโยบายที่เคร่งครัดแม้แต่น้อย
ถามว่ากรณีวัคซีนก้นขวดที่บุรีรัมย์ ตามมาด้วยการขนคนจากกาญจนบุรีทั้งรถตู้และรถบัสหลายสิบคันมาฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ ก่อนที่จะมีการปิดการให้วอล์กอินในช่วงสิ้นเดือนที่ผ่านมา ถามว่าเป็นฝีมือของใคร ใช่ฝ่ายการเมืองที่คุมกระทรวงคุณหมอหรือไม่ แล้วการกระทำในลักษณะเช่นนี้มันเสี่ยงต่อการพาคนมารับเชื้อหรือแพร่เชื้อหรือไม่ ทำไมจึงไม่มีการจัดการใด ๆ ปล่อยให้ใช้ช่องว่างหาเสียงกันได้สบายใจเฉิบ ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้มันจึงเป็นที่แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะมีพรรคใดถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล
ไม่ใช่เพราะรักกันมาก หากแต่มีเรื่องผลประโยชน์ที่ลงตัวกันทุกฝ่าย ที่สำคัญคือหากทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองในเวลานี้ ถามว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกเมื่อไหร่ เผลอ ๆ อาจจะมีส.ส.สอบตกกันครึ่งค่อนพรรคหรือทั้งพรรคก็เป็นได้ ในเมื่อประชาชนเห็นและสัมผัสกันแบบเต็ม ๆ กับฝีมือในการบริหารประเทศของขบวนการสืบทอดอำนาจและพรรคเสือหิวทั้งหลาย หากจัดให้มีการเลือกตั้งวันนี้ต่อให้มีส.ส.ลากตั้ง 250 เสียงที่จะคอยยกมือให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกลับมาก็ไม่มีประโยชน์
ชัดเจนอีกประการในสถานการณ์ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจออกคำสั่งปิดปากสื่อและประชาชนที่นำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 นั่นก็คือ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ท่านผู้นำพล่ามมาตั้งแต่เดือนเมษายนว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปประเทศไทยจะได้รับวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส แต่ล่าสุด เจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด แถลงการณ์ยืนยัน สามารถจัดสรรและส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยได้ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน
การโกหก เอาตัวเลขยกเมฆ 10 ล้านโดสมาหลอกลวงประชาชนของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น ถามว่าใช้หลักเกณฑ์ใดมาเป็นตัวกำหนด คิดเองหรือมีการนำเสนอข้อมูลมาจากกระทรวงสาธารณสุข ถ้าเป็นอย่างหลังนี่ก็คือ คำตอบของสิ่งที่ปลัดกระทรวงนำทีมแถลงปกป้องคณาจารย์แพทย์ที่ปรึกษาที่ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอแนะหรือกำหนดนโยบายใด ๆ ต้องให้ย้ำอีกกี่หนช่วยอธิบายให้ชัด ๆ และยอมรับความจริงหน่อยว่า ใช้อะไรมาชี้วัดเรื่องการเลือกยี่ห้อวัคซีนและจำนวนวัคซีนที่จะจัดซื้อ
อย่างที่ได้ยกเอาตัวอย่างประเทศฟิลิปปินส์ที่แก้ไขปัญหาเรื่องกฎหมายการจัดซื้อช้ากว่าประเทศไทย แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้มีการซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในเดือนพฤศจิกายน 2563 จำนวน 2.6 ล้านโดส ตามมาด้วยการซื้อวัคซีนยี่ห้อเดียวกันอีกกว่า 14 ล้านโดสในเดือนมกราคม 2564 ขณะที่ผู้นำประเทศไทยและคณะยังมะงุมมะงาหรา เห็นว่าวัคซีนไม่จำเป็นต้องเร่งจัดซื้อและยังเชื่อมั่นกับการเลือกแทงม้าตัวเดียว แต่ก็นำเข้าวัคซีนคุณภาพต่ำอย่างต่อเนื่อง
ไม่ต้องพูดถึงประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่างสิงคโปร์ ที่ความจริงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจควรใช้เป็นต้นแบบไม่ใช่ไปยกเอาประเทศที่ด้อยกว่ามาเปรียบเทียบ แต่นาทีนี้ประเทศที่ถูกมองว่าตามหลังประเทศไทยนั้น ในแง่ของวัคซีนคุณภาพและตัวเลือกของวัคซีนมีมากกว่าเราเสียด้วยซ้ำ ถ้าเอากรณีของสิงคโปร์มาเป็นแบบอย่างในการจัดหาวัคซีน ยิ่งทำให้เห็นความไร้ประสิทธิภาพและวิสัยทัศน์ของผู้นำไทยและคณะเป็นอย่างมาก
โดยสิงคโปร์ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดหาวัคซีนเชิงรุกอย่างแท้จริง ดังบทความที่นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอได้นำเสนอว่า สิงคโปร์เริ่มจัดหาวัคซีนตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2563 ผ่านความร่วมมือของ TxVax Panel จัดตั้งโดย Economic Development Board คล้ายกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ฯของไทย นำโดยภาคเอกชน นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ศึกษาและคัดเลือกวัคซีนที่น่าสนใจ
ก่อนจะส่งต่อให้ Planning Committee ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานและราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ลงความเห็นว่าควรสั่งซื้อวัคซีนชนิดใด ถือเป็นการทำงานแบบ two-track ขณะที่ประเทศไทยทำแบบ one-track สิงคโปร์ตัดสินใจลงนามสั่งซื้อวัคซีนเร็วมากคือ สั่งซื้อโมเดอร์นาเดือนมิถุนายน 2563 ไฟเซอร์ และ ซิโนแวคในเดือนสิงหาคม 2563 ที่สำคัญคือสิงคโปร์ไม่มีข้อจำกัดจากกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างทำให้สามารถสั่งจองวัคซีนที่อาจยังไม่ประสบความสำเร็จได้
แม้จะยังไม่ได้รับการรับรองจาก Health Science Authority ซึ่งคล้ายสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรืออย.ของไทย เป็นการทำสัญญาสั่งจองวัคซีนล่วงหน้าไว้เป็นหลักประกัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสิงคโปร์จะได้รับวัคซีนในปริมาณที่มากและรวดเร็ว ถ้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะอ้างว่าก็ไทยติดขัดข้อกฎหมาย แล้วจะแก้ไขไม่ได้เชียวหรือ เหมือนที่ออกกฎหมายปิดปากสื่อและประชาชน แบบนี้หน้าทนทำได้ แต่สิ่งที่สมควรทำกลับไม่ทำ กรรมของประเทศไทย
ครม.เห็นชอบแล้วตั้ง สุทธิพงษ์ จุลเจริญ นั่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นสิงห์ดำอีกรายที่ก้าวสู่จุดสูงสุดในกระทรวงคลองหลอดกับอายุราชการที่เหลืออีก 3 ปี หลังจากถูกยื้อมากับข่าวการโยกข้ามห้วย สุดท้ายก็ดันทุรังกันไม่ไหว พิจารณาจากคุณสมบัติแล้วก็ถือว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง แต่ที่เกิดคำถามคือรายของ ชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าฯ ปทุมธานี ข้าราชการรายแรกที่ประกาศไม่รับเงินเดือน 3 เดือนเพื่อนำไปช่วยประชาชนสู้โควิดถูกแขวนในตำแหน่งรองปลัดกระทรวง ถ้าไม่ใช่รอวันเป็นใหญ่ก็แสดงว่าการทำงานดีเกินไปไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจใครบางคน