อนาคตหุ้นกลุ่มเหล็ก

สมัยเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ธุรกิจเหล็กไทยเฟื่องฟูมาก เพราะมีการพัฒนาเศรษฐกิจในหลายๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากที่ประเทศไทยเปิดให้มีการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ ปรากฏว่า ผู้ประกอบการไทยค่อยๆ ล้มไปทีละรายสองราย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเกิดจาก“ต้นทุน” เนื่องจากการผลิตเหล็กของโรงงานไทยสูงกว่าต่างประเทศ ซึ่งสิ่งที่ทำกันอยู่นั้น ส่วนใหญ่ก็ต้องไปรับซื้อเศษเหล็กเก่ามารีไซเคิล

ผลที่ตามมา คือ ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น แล้วทำให้รายได้เข้ามาต่ำลง อีกทั้งยังได้เหล็กที่มีคุณภาพต่ำกว่าเหล็กนำเข้าอีกด้วย!

ยิ่งไปกว่านั้น หลังวิกฤติซับไพรม์เป็นต้นมา อุตสาหกรรมผลิตเหล็กในประเทศไทยอยู่ในสภาพขาดทุนชนิดกระเสือกกระสนกับปัญหาทางการเงินกันเป็นส่วนใหญ่ และการแข่งขันจากคู่แข่งภายนอกประเทศทุ่มตลาดรุนแรงต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับการปกป้องในเรื่องกำแพงโควต้านำเข้าและกำแพงภาษีจากรัฐบาลค่อนข้างมากทีเดียว

ความเป็นจริงกำแพงดังกล่าวไม่สามารถปกป้องผู้ค้าเหล็กไทยได้ เพราะหลังจากผู้ประกอบการเหล็กกล้ารายใหญ่ในจีนเผชิญภาวะขาดทุน อันเนื่องมาจากปริมาณความต้องการซื้อลดลง หลังเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง และค่าใช้จ่ายในการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ทางสมาคมเหล็กกล้าจีนจึงเรียกร้องให้มีการพัฒนารูปแบบของอุตสาหกรรม ดังนั้นทำให้ผู้ค้าเหล็กจำนวนมากในมณฑลหูเป่ย ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ ไปเป็นการแปรรูปเหล็ก เพื่อหวังกระตุ้นความซบเซาของธุรกิจ

โดยการส่งออกไปประเทศอื่นๆอย่างประเทศไทย ทำให้สถานการณ์เหล็กในประเทศตอนนี้ก็คือ “การดั๊มพ์ราคาเหล็กจากจีน ถล่มตลาดเหล็กไทย”

การทะลักเข้ามาของเหล็ก สิ่งที่เกิดตามมา คือ ทำให้ผลประกอบการของบริษัทค้าเหล็กในไทยต้องซบเซาลง และกระเสือกกระสนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทเหล็กขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย อย่าง SSI และ GSTEL ยัง “มืดฟ้ามัวดิน” เนื่องจากต้องเจอกับการที่ขาดทุนมหาศาล รวมถึงบริษัทอื่นที่ขาดทุนต่อเนื่อง อย่าง GJS, INOX, MAX, RICH, TIW, TSTH และ TYCN ขณะที่หลายบริษัทค้าเหล็กที่ผลประกอบการลุ่มๆ ดอนๆ อย่าง AMC, BSBM, CEN, CITY, CSP, LHK, MCS, MILL, PERM, SAM, SMIT, SSSC, TGPRO, THE, TMT และ TWP

ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ของหุ้นที่อยู่ในหมวดเหล็กที่หุ้นมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอยู่ 2 ตัว อาทิ  MCS และCITY ขณะที่หุ้นเทิร์นอะราวด์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอยู่ 2 ตัว อาทิ MILL และTIW

สำหรับบริษัทที่ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก 2558 กำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอยู่ 7 ตัว อาทิ INOX, CEN, TWP, SSSC, LHK, TMT, และ SMIT ขณะที่ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก 2558 ขาดทุนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร มีอยู่ 9 ตัว อาทิ TSTH, TGPRO, TYCN, PERM, AMC,  BSBM ,  THE, CSPและ SAM

ส่วนบริษัทที่ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2558 ขาดทุนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน มีอยู่ 4 ตัว อาทิ  MAX, GJS, SSI และ GSTEL นอกจากนี้มีบริษัทที่ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2558 ขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน มี 1 ตัว อาทิ RICH

ดูจากผลประกอบการก็เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าธุรกิจในหุ้นเหล็กย่ำแย่จริงๆ ส่วนในอนาคตยังมองไม่เห็นว่าสดใส เพราะตลาดโลกยังคงเป็นแรงกดดันให้หุ้นเหล็กหมดความรุ่ง รวมถึงการก่อสร้างเกิดการชะลอตัวลง ประกอบกับต้องเผชิญกับภาวะแข่งขันกับเหล็กนำเข้าจากจีนไปถึงปี 2559 เป็นอย่างน้อย และจะยังได้รับผลกระทบจากราคาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว

ดังนั้นยังไม่เห็นเลยว่าหุ้นกลุ่มเหล็กจะเอากำไรมาจากที่ไหน

…

ตารางกำไรสุทธิของหมวดเหล็กงวดครึ่งปีแรก 2558

หลักทรัพย์	กำไรสุทธิ		เปลี่ยนแปลง
	(ล้านบาท)
	2558	2557	ล้านบาท	%
AMC	-77.87	39.43	-117.30	-297.46
BSBM	-43.49	24.05	-67.54	-280.89
CEN	7.88	45.08	-37.20	-82.51
CITY	86.50	68.30	18.20	26.65
CSP	-99.05	141.04	-240.09	-170.22
GJS	-674.18	-240.03	-434.16	-180.88
GSTEL	-1137.12	-921.16	-215.96	-23.44
INOX	4.05	164.38	-160.33	-97.54
LHK	66.77	82.82	-16.05	-19.38
MAX	-22.49	-4.21	-18.27	-433.96
MCS	344.34	17.82	326.52	1832.40
MILL	177.73	-162.41	340.14	209.43
PERM	-117.97	55.55	-173.52	-312.35
RICH	-35.66	-98.52	62.86	63.80
SAM	-14.08	82.39	-96.46	-117.08
SMIT	92.25	102.79	-10.54	-10.25
SSI	-6261.82	-2803.32	-3458.50	-123.37
SSSC	79.81	182.60	-102.79	-56.29
TGPRO	-37.88	10.94	-48.82	-446.19
THE	-52.81	74.55	-127.36	-170.85
TIW	0.99	-2.50	3.49	139.48
TMT	174.15	201.73	-27.58	-13.67
TSTH	-69.68	0.57	-70.25	-12323.86
TWP	42.46	99.96	-57.50	-57.52
TYCN	-177.17	52.70	-229.87	-436.19