ได้เวลาของการซื้อใหม่พลวัต2015
มีกฎไม่เป็นทางการของผู้จัดการกองทุนเก็งกำไร โดยเฉพาะเฮดจ์ฟันด์ที่สอนกันมายาวนานพอสมควรว่า หากมีข่าวร้ายเกิดขึ้นต่อเนื่อง จนข่าวสุดท้ายล่าสุด ไม่ได้ทำให้ตลาดร่วงลงอีกต่อไป สะท้อนว่า เวลาของการซื้อสวนกลับเริ่มต้นขึ้นแล้ว
มีกฎไม่เป็นทางการของผู้จัดการกองทุนเก็งกำไร โดยเฉพาะเฮดจ์ฟันด์ที่สอนกันมายาวนานพอสมควรว่า หากมีข่าวร้ายเกิดขึ้นต่อเนื่อง จนข่าวสุดท้ายล่าสุด ไม่ได้ทำให้ตลาดร่วงลงอีกต่อไป สะท้อนว่า เวลาของการซื้อสวนกลับเริ่มต้นขึ้นแล้ว
สัญญาณของการซื้อกลับท่ามกลางกระแสข่าวร้าย เกิดจากจมูกและประสาทอันฉับไวด้วยประสบการณ์ของการลงทุนเก็งกำไร บอกว่าการรีบาวด์ ที่เป็นมากกว่าแค่เทคนิคัลเลอร์รีบาวด์มาแล้ว
ตลาดหุ้นมีทั้งด้านมืดและสว่าง มีเหตุผลรองรับเสมอกับการแกว่งทิศทางของตลาดเมื่อด้านมืดแสดงอิทธิฤทธิ์ถึงระดับหนึ่ง ด้านสว่างก็พร้อมปรากฏตัวออกมา เพื่อให้ตลาดเดินหน้าต่อไปได้ ไม่หยุดพักนานเกินไปถึงขั้นตลาดวาย หากพื้นฐานเศรษฐกิจไม่เลวร้ายจนเกินไป
ภาษิตไทยและตะวันออกบอกว่า ราตรีที่มืดสนิทเท่าใด บอกว่า สว่างใกล้มาทุกขณะ ฉันใดก็ฉันนั้น
วันศุกร์ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว เพราะข่าวร้ายที่ตลาดตีความเป็นข่าวดี ทำให้ตลาดเก็งกำไรหลายอย่างพร้อมกันทั้งตลาดหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และน้ำมัน พากันพลิกจากลบเป็นบวกกันพรึ่บ เสมือนนัดกันไว้ก่อนดิบดี
ตลาดน้ำมัน NYMEX ไม่สนใจข่าวโอเปกผลิตน้ำมันดิบสูงสุดในรอบหลายปี และข่าวรัสเซียเร่งเพิ่มผลิตน้ำมันเป็นสถิติใหม่เช่นกัน ยืนแกร่งเหนือ 45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล รวมทั้งข้อสรุปท้วงติงของโกลด์แมนแซคส์ที่คาดว่าหากการผลิตยังไม่ลดราคาน้ำมันดิบจะลงไปที่ 20 ดอลลาร์
ที่น่าสนใจก็คือ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เริ่มสัญญาณการซื้อระลอกใหม่ ในกลุ่มสินค้าเกษตรชัดเจนขึ้นในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาของเดือนกันยายน เป็นการส่งสัญญาณบวกชัดเจน
ทางด้านตลาดหุ้น นักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์แบงก์ในอังกฤษเอาสถิติย้อนหลัง 12 ปีมาเทียบดู เพื่อยืนยันข้อสรุปของเราว่า 4 ครั้งรอบเวลาดังกล่าว เมื่อดัชนีเฉลี่ยของตลาดหุ้นเกิดใหม่ร่วงลงมากเกินกว่าการร่วงลงของตลาดหุ้นหลักของโลกจะเกิดแรงซื้อสวนกลับในหุ้นที่ต่ำกว่าพื้นฐาน ทำให้ตลาดพลิกฟื้นกลับรุนแรง ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตลาดหลักเสมอ
ข้อมูลดังกล่าว ทำให้เขาฟันธงว่า ตลาดหุ้นเกิดใหม่ได้จังหวะของการเข้าซื้อแล้ว โดยเฉพาะหลังจากตลาดหุ้นจีนเริ่มมีเสถียรภาพ สามารถมีแรงซื้อจริงเข้ามาดันตลาดสู้กับข่าวร้ายต่างๆ ที่ท่วมตลาดโดยประเมินว่า ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนใน 6 เดือนข้างหน้าของการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 9%
ตลาดที่มีเสถียรภาพสูงในยามข่าวร้ายท่วม ยามนี้หนีไม่พ้นตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะตลาดเซี่ยงไฮ้ที่ปีนี้แซงหน้าตลาดนิวยอร์กเป็นตลาดมูลค่าซื้อขายประจำวันมากที่สุดของโลก
นับแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ได้ชื่อว่ามีดัชนีความแปรปรวนมากสุดในโอกาสแต่ละวัน แรงเหวี่ยงของดัชนีอยู่ที่เฉลี่ยวันละประมาณ 500 จุด แต่หลังจากการร่วงหนักและทางการจีนใช้ทุกมาตรการมากกว่า 15 อย่าง สูญเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศมากกว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา กลายเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในโลก แรงเหวี่ยงในการซื้อขายประจำวันไม่เกิน 100 จุด ขณะที่ดัชนี SSEC เริ่มตั้งตัวได้ สามารถยืนเหนือ 3,000 จุด ได้สงบนิ่ง แม้ข่าวร้ายจะยังคงรบกวนขาขึ้นของตลาดต่อไป
ตัวเลขทางสถิติต้นเดือนตุลาคมสะท้อนให้เห็นว่าการปรับสมดุลของเศรษฐกิจจีนโดยรัฐบาลปักกิ่ง ที่กระทำมาในปีนี้ เริ่มมีเค้าลางแห่งอนาคตเชิงบวกมากขึ้น แม้ไม่ชัดเจน แต่บอกให้รู้ว่าเศรษฐกิจจีน ไม่ได้เลวร้ายเหมือนนักวิเคราะห์ประเมินเอาไว้
บทสรุปที่แหลมคมของ WEF ในสวิตเซอร์แลนด์ยืนยันว่า การปรับสมดุลของจีน ที่ดำเนินไปจะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนจากเติบโตเชิงปริมาณในเวลาที่ผ่านมามากกว่า 25 ปี กำลังย้ายไปสู่การเติบโตเชิงคุณภาพ นั่นเป็นข่าวดีที่สะท้อนว่า ขาลงของตลาดหุ้นจีนเกือบ 2,000 จุด ในช่วงเวลา 3 เดือนเศษ กำลังมาถึงจุดสิ้นสุดลง อย่างไม่เป็นทางการ
ประเด็นที่มีความหมายมากที่สุดคือ ท่าทีของสายเหยี่ยวในวอลล์สตรีท ที่ต้องการให้เฟดฯขึ้นดอกเบี้ย และอยู่เบื้องหลังความผันผวนของตลาดนิวยอร์กมานานกว่า 3 สัปดาห์โดยพุ่งเป้าให้เฟดฯเป็นผู้ร้ายในฐานะตัวการทำให้ตลาดผันผวนเพราะไม่ยอมขึ้นดอกเบี้ย ได้เปลี่ยนมุมมองและกระบวนทัศน์ใหม่มากขึ้นแล้วว่า การไม่ขึ้นดอกเบี้ยของเฟดฯมีเหตุผลรองรับที่เข้าใจได้
มุมมองที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดการเทขายดอลลาร์ออกมาในท้องตลาด เพื่อให้เข้าสู่ระดับที่จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อผู้ส่งออกอเมริกันและไม่ทำให้ตลาดเงินปั่นป่วนเกินขนาด
มุมมองดังกล่าวยอมรับว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าโน่นเลย เพื่อที่จะให้เวลาสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยั่งยืน และเศรษฐกิจชาติต่างๆ ในโลกไม่พังเป็นโดมิโนเสียในอัตราเร่ง
ผลพวงทางอ้อมของมุมมองนี้คือการไหลกลับของทุนเก็งกำไรข้ามชาติกลับไปยังตลาดเกิดใหม่ที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่พื้นฐานยังแข็งแกร่ง และพร้อมปรับตัวรวดเร็ว ต้อนรับการไหลเวียนของทุนเก็งกำไรอย่างสะดวก
ทุนที่ไหลกลับมายังตลาดเกิดใหม่นี้ จะขับเคลื่อนตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นระลอกใหม่ ส่วนตลาดไหนจะไปได้ไกลมากหรือน้อย ขึ้นกับปัจจัยภายในประกอบ
กระแสเช่นนี้ส่งผลโดยตรงต่อตลาดเงินตรา ตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น อาจรวมถึงตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ไม่รวมน้ำมัน และทองคำไว้ด้วย
ภาวะหมีที่ซึมกะทือมานานหลายเดือนของตลาดหุ้น ในหลายเดือนมานี้ทั่วโลกรวมทั้งไทย น่าจะเริ่มจากไปจากใจนักลงทุน ดังนั้นการเข้าซื้ออย่างคัดสรร และมีจังหวะที่เหมาะสม จะเป็นโอกาสที่ต้องเกิดขึ้น ไตรมาสสี่นี้ ได้เห็นแน่นอน