เอาเป้าสิ้นปีหรือ 120 วันกันล่ะ
วิถึชีวิตปกติของผู้คนในบางประเทศกำลังกลับมา ส่วนของไทยก็ยังคงมืดมนและดูจะล้าหลังกว่าเพื่อนบ้านในอาเซียนไปแล้ว
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษกลับมาพร้อมกับคนดูเต็มสนามแล้วครับ กีฬาประเภทต่าง ๆ เช่นเทนนิส บาสเก็ตบอล อเมริกันฟุตบอลในอเมริกา ก็เปิดให้คนดูเข้าชมเกือบเต็มสนามแล้วครับ
วิถึชีวิตปกติของผู้คนในบางประเทศกำลังกลับมา ส่วนของไทยก็ยังคงมืดมนและดูจะล้าหลังกว่าเพื่อนบ้านในอาเซียนไปแล้ว
ไม่ใช่ว่า อังกฤษหรืออเมริกา จะปลอดเชื้อโควิดไปแล้วนะครับ อัตราการติดเชื้อแต่ละวันก็ยังเป็นหมื่น และอัตราการตายก็ยังเป็นหลักร้อย-หลักพันอยู่ แต่อัตราการป่วยการตายก็ลดลงมามากแล้ว
เกือบจะลดระดับลงเป็น “โรคประจำถิ่น” ที่ติดเชื้อแต่ไม่รุนแรง และเกิดจากผลลัพธ์สำคัญที่มีการฉีดวัคซีนคุณภาพให้แก่ประชากรในจำนวนที่มากพอจนเกิดเป็น “ภูมิคุ้มกันหมู่”
ตั้งแต่โควิดระบาด มีผู้เสียชีวิตคนแรกเมื่อเดือน มี.ค.2563 ผมเพิ่งจะได้เห็นความประทับใจหนึ่งเดียวจากการทำงานของรัฐบาลก็คือ คำสั่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาให้องค์การเภสัชกรรมฯ สั่งซื้อเครื่องมือตรวจโควิดอย่างเร็วหรือ ATK…
ที่ผ่านใบอนุญาต อย. และองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ให้การรับรองนี่แหละ
อาจจะเป็นเรื่องเข้าทำนอง “หมูเขาจะหาม ดันเอาคานเข้ามาสอด” ก็ได้ เพราะ อภ.ใกล้จะเซ็นสัญญากับตัวแทนบริษัทเครื่องมือตรวจ “เล่อผู่” หรือ “Lepu” รอมร่ออยู่แล้ว แต่นายกรัฐมนตรีดันออกคำสั่ง ต้องได้รับการรับรองจาก WHO ด้วย
ยังไม่รู้ว่า อภ.ภายใต้แบ็คอัพของ รมต.อนุทินจะยอมถอยหรือไม่ ถ้า อภ.จะถอยก็ถอยได้เพราะสัญญายังไม่เซ็น แต่ถ้า อภ.ไม่ยอมถอย นายกฯ ในฐานะประธานซิงเกิล คอมมานด์ ก็เสียหาย ที่สั่งแล้ว แต่หน่วยงานใต้บังคับบัญชา ไม่ยอมปฏิบัติตาม
แถมยังตอกย้ำภาพพจน์การเดินแนวทางผิดซ้ำซากในเรื่องของการเลือกใช้ของคุณภาพเข้าให้อีก
ผิดพลาดมาตั้งแต่การเลือกวัคซีนคุณภาพรอง ไม่ตอบโจทย์เชื้อโควิดกลายพันธุ์ และผลิตได้ไม่ทันความต้องการแม้มีโรงงานในประเทศคือ แอสตราเซเนกา–ซิโนแวคแล้ว
คนป่วยโควิดล้นโรงพยาบาลไม่มีเตียงรักษา แทนจะได้ยาประทังชีวิตไปก่อน แต่ก็ปล่อยให้ยาขาดแคลนจนสิ้นชีวิตไปเอง
ครั้นจะเลือกเครื่องตรวจเชื้อ ATK ด้วยตัวเอง ก็ดันเลือกของต่ำมาตรฐาน ที่ไม่ผ่านการรับรองจาก WHO และอย.อเมริกาซะอีก
เฮ้อ! ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ไม่คิดจะเลือกของดีมีคุณภาพให้แก่ประชาชนที่ร้าวระบมจากพิษภัยโควิดกันบ้างหรือ
ก็คงจะเป็นเรื่องเดียวที่เห็นการคิดที่เข้าท่าของพล.อ.ประยุทธ์ล่ะนะครับ และก็ยังไม่รู้ว่าจะเบรกลูกน้องรมต.อนุทินได้หรือเปล่า
สิ่งที่รัฐบาลนี้ยังสะกดคำไม่เป็นก็คือ “วัคซีนที่เพียงพอ” อันไม่ใช่คำพูดที่สวยหรูอย่างเช่นชู 2 นิ้วเป็นตัววี พร้อมเฉลยความหมายคือ V-Vaccine และ V-Victory เล่นโก้ ๆ “นะจ๊ะ” หรอกนะ!
จนบัดนี้แล้ว ก็ยังฉีดวัคซีนสะสม (ถึง 18 ส.ค.) ได้เพียง 25,167,060 โดส แยกเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 19,143,574 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 5,503,882 โดส และเข็มที่ 3 จำนวน 519,604 โดส
ถ้าจะยึดตามกรอบเป้าหมาย 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 ก็ยังเหลือวัคซีนที่ต้องฉีดอีก74,832,940 โดสครับ
ส่วนถ้าจะคิดเป้าหมายจำนวนคิด ก็ต้องคิดจากจำนวนการฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 19 ล้านกว่าคน คิดเป็นร้อยละ28.92 ของประชากรไทย 66,186,727 คนเอง ยังต้องฉีดเพิ่มอีก 30,856,426 คน หรือร้อยละ 41.08
ปัญหาว่าพล.อ.ประยุทธ์จะยึดเป้าหมายสิ้นปี 2564 ซึ่งเหลือเวลาอีก 135 วัน หรือเป้าหมาย 120 วัน ซึ่งประกาศ ณ 16มิ.ย. จะไปครบเอา 15 ต.ค.ก็จะเหลือเวลาอีก 58 วันเท่านั้น
หากเลือกเอาเป้าหมายสิ้นปี จากนี้ไปก็ต้องฉีดให้ได้โดยเฉลี่ยวันละ 554,318.07 โดส เมื่อเทียบกับยอดฉีดล่าสุด ณ 18ส.ค ที่ 548,311 โดส ก็ถือว่าใกล้เคียง พอใช้ได้เลย
แต่หากเลือกเอาเป้าหมาย 120 วัน ที่ประกาศภายหลัง ก็คงจะเหนื่อยลิ้นหอบเลยแหละ เพราะต้องฉีดให้ได้โดยเฉลี่ยวันละ 1,290,223 โดส
คำพูดเป็นนาย อย่าให้เสื่อมเกียรติ