พาราสาวะถี

วันนี้มีประชุมศบค.ชุดใหญ่สิ่งที่จับตามองกันคือการผ่อนคลายมาตรการที่วางไว้อย่างเข้มงวดก่อนหน้าโดยเฉพาะในพื้นที่ 29 จังหวัดสีแดงเข้ม


วันนี้มีประชุมศบค.ชุดใหญ่ซึ่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน สิ่งที่จับตามองกันคือการผ่อนคลายมาตรการที่วางไว้อย่างเข้มงวดก่อนหน้าโดยเฉพาะในพื้นที่ 29 จังหวัดสีแดงเข้ม ซึ่งทิศทางก็ไม่น่าจะหนีไปจากบทสรุปในที่ประชุมของศบค.กระทรวงสาธารณสุข ที่ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงแถลงชี้แจง หลัก ๆ จะอยู่ที่การผ่อนคลายให้ร้านอาหารสามารถเปิดให้คนมานั่งกินในร้านได้ แบบมีเงื่อนไขอย่างเข้มข้น

โดยที่ไม่รู้ว่ามาตรการที่ว่านั้นผู้ประกอบการและผู้ใช้บริหารจะพึงพอใจ และสามารถดำเนินการได้ตามที่มีการประกาศหรือไม่ เพราะสิ่งกระทรวงสาธารณสุขจะเสนอต่อที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ให้เคาะก็คือ ในสถานประกอบการให้ยกระดับให้กิจการดำเนินการได้ เรียกว่า COVID Free Program ร่วมกับ Universal Prevention หรือการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล โดยจะนำไปใช้กับสถานประกอบการ หรือสถานที่ต่างๆ ประกอบด้วย 2 ส่วน

ส่วนหนึ่งคือสถานประกอบการ ต้องมีการจัดระยะห่าง มีระบบระบายอากาศ ไม่ให้อากาศนิ่ง ซึ่งจะอยู่ในสถานประกอบการที่เป็นห้องปรับอากาศ โดยต้องจัดระบบนี้ และอีกส่วนคือส่วนบุคคล แบ่งออกเป็นผู้ให้บริการต้องเป็นโควิดฟรี นั่นก็คือต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม เคยติดเชื้อและพ้นระยะการแพร่เชื้อหรือหลังติดเชื้อมาแล้วประมาณ 1 เดือนไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งถือว่าภูมิคุ้มกันยังสูง หรือ ถ้าไม่ได้ฉีดวัคซีนและไม่เคยติดเชื้อ ก็ต้องมีผลการตรวจหาโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR หรือ ATK เป็นลบ

นอกจากนั้น ผู้ที่ความเสี่ยงมากให้ตรวจทุก 3 วัน หากเสี่ยงน้อยให้ตรวจทุก 7 วัน หากทำได้ก็สามารถให้บริการได้ ก็ประกาศได้ว่า “ผู้ให้บริการทุกคนเป็นโควิดฟรี” ส่วนผู้ใช้บริการหรือลูกค้าก็ไม่ต่างกัน ต้องปราศจากเชื้อโควิด-19 เช่นเดียวกัน ต้องรับวัคซีน 2 เข็ม ต่อไปอาจมีบัตร หรือดิจิทัลการ์ดว่าได้รับวัคซีนครบแล้ว หรือใบรับรองการฉีดวัคซีน 2 เข็มในหมอพร้อม หรือหากไม่มีก็ขอใบรับรองจากหน่วยบริการฉีดวัคซีนได้ หรืออีกส่วนอาจใช้บัตรเหลืองหรือบัตรชั่วคราวสำหรับคนที่เคยติดเชื้อมาแล้ว 1-3 เดือน

ในกรณีของผู้ที่เคยติดเชื้อไม่เกิน 3 เดือนนั้น สามารถขอใบรับรองจากแพทย์ได้ เหตุที่กำหนดเช่นนั้นเพราะเป็นระยะที่มีภูมิคุ้มกัน แต่หากพ้นระยะดังกล่าวก็ไปฉีดวัคซีนเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันต่อไป ขณะเดียวกัน หากไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือไม่เคยติดเชื้อ ก็ต้องเป็นโควิดฟรี จะเหมือนกับผู้ประกอบการคือ มีการตรวจโควิดเบื้องต้นด้วยชุดตรวจ ATK ซึ่งอาจตรวจเองที่บ้าน และมีการรับรองกัน หรือในอนาคตทางสถานประกอบการอาจจะต้องมีชุดตรวจเตรียมไว้ให้

คงต้องฟังเสียงจากผู้ประกอบการว่ามาตรการเช่นนี้รับกันได้หรือไม่ จะเหลือบ่ากว่าแรงกันหรือเปล่า เท่าที่ฟังจากปลัดกระทรวงสาธารณสุขอธิบาย ดูเหมือนว่าจะมีผู้ประกอบการที่มีความพร้อมที่จะเป็นกิจการต้นแบบให้เป็นมาตรฐาน และเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป ซึ่งเรื่องนี้จะปล่อยให้ผู้ประกอบการดำเนินการเพียงลำพังไม่ได้ กระทรวงสาธารณสุขต้องเข้าไปสนับสนุนทางด้านเทคนิค วิธีการ เพื่อให้เกิดต้นแบบที่แท้จริง ขณะเดียวกันรัฐบาลน่าจะต้องไปดูเรื่องภาระต้นทุนต่าง ๆ ด้วย

จุดนี้เป็นปัจจัยสำคัญ หากต้องการความปลอดภัยให้กับทุกฝ่าย และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการมีรายได้และสามารถจ้างงานได้ แต่มีภาระด้านต้นทุนเพิ่มขึ้น แล้วผลักภาระเหล่านั้นไปให้ผู้บริโภค ก็จะกลายเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนในสถานการณ์เช่นนี้เข้าไปอีก ความจริงเรื่องของการปิดร้านอาหารนั้น นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฬา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้มีความเห็นไปก่อนหน้า

โดยหมอธีระวัฒน์มองว่า การตัดสินใจปิดไม่ให้ประชาชนนั่งทานในร้านอาหาร อาจจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลให้ถี่ถ้วน จริงอยู่มีผู้ประกอบการอยู่บ้างที่ไม่เข้มงวดในเรื่องของจำนวนคนที่เข้าร้าน ทำให้การรักษาระยะห่างไม่ได้ผลและไม่ได้ควบคุมวินัย แต่ตัวอย่างดังกล่าวไม่ควรนำมาถึงการห้ามทั้งหมด ในเมื่อสามารถที่จะควบคุมให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดได้ไม่ใช่หรือ การทำให้การดำรงชีวิตของคนไทยเข้าใกล้ปกติอย่างปลอดภัยทั้งตนเองและมีความรับผิดชอบต่อสังคมกลับเป็นเรื่องที่ต้องส่งเสริมมากกว่าไม่ใช่หรือ

ไม่รู้ว่ามาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขจะเสนอให้ศบค.ชุดใหญ่พิจารณานั้น เป็นสิ่งเดียวกับที่หมอธีระวัฒน์ต้องการให้เป็นหรือไม่ หรือว่ามากเกินไปกว่าที่คนปกติทั่วไปจะรับและดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม ในการเสนอครั้งนี้ยังไม่มีการปรับสีพื้นที่แต่อย่างใด ด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักว่าการติดเชื้อยังสูงอยู่ ตระหนักว่ายังมีความรุนแรงอยู่ ทุกคนจะได้ช่วยกันคงมาตรการ DMHTT ต่อไป เช่นเดียวกับเรื่องระยะเวลาหรือการประกาศใช้ แต่หลังการประชุมวันนี้จะมีบทสรุปอย่างแน่นอน

อาทิตย์นี้ 29 สิงหาคม มีม็อบที่นำโดยแกนนำรุ่นใหญ่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์(อ.ห.ต.) และ สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด กับกิจกรรม Car Mob – Call Out” ตั้งขบวนกันที่อุโมงค์ทางลงแยกเกษตร ปลายทางลานสวนเทพปทุมเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี ระยะทางร่วม 50 กิโลเมตร โดยแกนนำทั้งคู่ได้แถลงข่าวยืนยันนี่จะเป็นคาร์ม็อบครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะนัดหมายชุมนุมใหญ่แบบจัดเต็มในลำดับถัดไป ตรงนี้น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

หากไม่ใช่แค่งานอีเว้นต์ทางการเมืองเพื่อเรียกเรตติ้ง จุดนี้อาจจะเป็นการดำเนินการที่คู่ขนานไปพร้อมกับศึกซักฟอกที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคมถึง 4 กันยายนนี้ แม้แกนนำทั้งสองคนจะเป็นผู้ที่มีท่วงทำนองในการขับเคลื่อนด้วยลีลาและการใช้ภาษาที่เร้าการมีส่วนร่วมจากประชาชนได้ดี แต่การที่ประกาศว่าเทหน้าตักประชาชนเพื่อส่งสารถึงรัฐบาล พรรคร่วม รวมทั้งต่างชาติช่วยรีดยางอายไล่ประยุทธ์นั้น น่าจะตรงใจกับคนส่วนใหญ่เวลานี้ อยู่ที่ว่าจะมีพลังมากพอเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เท่านั้นเอง

Back to top button