จุดพักคอย 1,600

ความสามารถในการฉีดได้วันละ 5 แสนโดส กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทุกคนมองข้ามผลงานไตรมาส 3 ที่จะออกมาไม่สวยกันหมดแล้ว


* ความเชื่อมั่นที่มีต่อวัคซีนจะไหลเข้าไปในไทยเดือนละ 15 ล้านโดส และความสามารถในการฉีดได้วันละ 5 แสนโดส กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทุกคนมองข้ามผลงานไตรมาส 3 ที่จะออกมาไม่สวยกันหมดแล้ว และกำลัง “นั่งลุ้น นอนลุ้น” ผลงานไตรมาส 4 อย่างใจจดใจจ่อแบบนี้ “โมนิก้า” ถือเป็นจังหวะของการตามกระแสในระหว่างที่รอข่าวจริงปรากฏนะจะบอกให้

* สถานการณ์ดังกล่าวเชื่อมโยงกับเรื่องที่ “โมนิก้า” เคยเม้าท์ให้ฟังเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า การขึ้นเที่ยวนี้ค่อนข้างพลิกโผอย่างแรง เพราะเป็นการเล่นบนยอดคน “ติดเชื้อ” และ “เสียชีวิต” อยู่ในระดับทรงตัว และเริ่มลดในบางวัน จนผู้คนมากมายเชื่อไปในทางเดียวกันว่า กราฟโควิดของไทยจะอยู่ในลักษณะหัวปักลง ซึ่งจะทำการเปิดเมืองเป็นไปตามกำหนดที่วางแผนไว้นะจ๊ะ

* ถึงกระนั้นก็อยากให้ทุกคนพึงระวังว่า การยืนปิดเหนือระดับ 1,600 จุดอย่างแข็งแกร่งเป็นเวลานาน น่าจะไม่ง่ายเหมือนที่หลายคนคิดหรอก! ซึ่งเห็นได้จากการแกว่งตัวไปมาที่บริเวณดังกล่าว ก่อนจะจบลงด้วยการยืนปิดที่ 1,601.91 จุด บวกไป 1.42 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.12 หมื่นล้านบาท มันคือต้นทุนที่นักเล่นต้องจ่ายแพงขึ้น เพื่อนำไปขายในราคาที่แพงกว่า ซึ่งเป็นหลักคิดเบื้องต้นของเกมที่ทุกคนต้องจ่ายไงล่ะคะ

* เหมือนกับการหายหน้าไปของหุ้นที่เป็นเครื่องมือรัฐอย่าง KTB ถือเป็นกรณีศึกษาชั้นยอดที่ “โมนิก้า” อยากหยิบยกขึ้นมาเม้าท์แตก เพราะเมื่อย้อนดูประวัติเก่าของการปั้นกำไรในแต่ละปีจะเห็นว่า ส่วนใหญ่จะทำผลงานดีได้แค่ปีสองปี หลังจากนั้นก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอีกตามเคย เดี๊ยนถึงมองฝีมือของ “ผยง” ก็งั้น ๆ ราคาหุ้นก็เลยงั้น ๆ และการยืนปิดที่ 11.10 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 196 ล้านบาทก็งั้น ๆ..อิอิอิ

* เช่นเดียวกับแนวคิดที่มีต่อหุ้น ADVANC ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีมุมที่ทำให้เชื่อว่า รายได้และกำไรจะขึ้นทำไปทำนิวไฮได้อีกเลย และจุดขายเดียวที่ยังหลงอยู่ก็คือปันผล “โมนิก้า” ถึงมองโอกาสที่หุ้นจะไปสวย ๆ ตามกระแสคงเป็นไปได้ยาก จึงอยากให้แฟน ๆ ช่วยประเมินการยืนปิดที่ 184 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 0.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.72 พันล้านบาทยังน่าสนใจไหม เพราะในรอบหนึ่งปีราคาหุ้นก็วนเวียนแค่ 170-190 บาทน่ะสิ

* ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงหุ้นที่มีดาวน์ไซด์ต่ำอย่างเช่น WHA ขึ้นมาในทันที เพราะมองจากโครงสร้างธุรกิจที่ประคองตัวรอดจากโควิด บวกทิศทางในครึ่งปีหลังมีโอกาสฟื้นตัว ย่อมเป็นตัวแปรที่ทำให้เชื่อว่า การยืนปิดที่ระดับ 3.22 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 325 ล้านบาท เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลาง และเรื่องนี้ยืนยันด้วยราคาหุ้นแกว่งตัวไปมาแถว 3.00-3.40 บาทเป็นเวลานานถึง 4 เดือน จึงไม่มีอะไรต้องวอรี่เจ้าค่ะ

* ส่วนรายที่ต้องวอรี่จริง ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่พ่อตัวดีอย่างหุ้นยางมะตอย TASCO เพราะทุกวันนี้ยังไม่เห็นโผล่หัวออกมาให้กระจอกข่าวซักถามปมร้อนอย่างเป็นทางการ จนบรรดาแมงลือเม้าท์กันไปต่าง ๆ นา ๆ แบบนี้  เดี๊ยน มองเป็นเรื่องไม่กล้าสู้หน้าคนเสียมากกว่า จึงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นมีอาการโรยราลงเรื่อย ๆ วานนี้ถึงเห็นหุ้นยืนปิดที่ระดับ 18 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 177 ล้านบาทไงล่ะคะ

* ประเด็นดังกล่าวช่างตรงข้ามกับหุ้น ORI หลังหัวเรือใหญ่อย่าง “เฮียโด่ง” มีการต่อยอดธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ผสานกับเตรียมผลักดันบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น ย่อมเป็นหนึ่งในสตอรี่ที่เพิ่มแวลูให้กับหุ้นตัวนี้เต็ม ๆ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับประเมินการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 9.45 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 2.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 292 ล้านบาท ท่ามกลางค่า PE 7.50 เท่า ยังมีอัพไซด์ให้หุ้นวิ่งอีกเยอะไหมจ๊ะ

* เม้าท์ถึงเรื่องพีอีไม่สูงจนเกินไปขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” คงต้องมองไปที่หุ้น AIE ซึ่งกำลังไล่ราคารอบใหม่กันอย่างเมามัน แถมเมื่อเหลือบดูค่า PE ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 15 เท่า ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า การยืนปิดที่ระดับ 1.48 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 7.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 344 ล้านบาท น่าจะมีแก๊ปให้ซัดกันอีกพักใหญ่ ๆ..ส่วนเรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริงอย่างไร? วันนี้เดี๋ยวรู้กันเจ้าค่ะ

Back to top button