พาราสาวะถี
ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น กลเกมพรรคสืบทอดอำนาจที่เกิดกระแสข่าวโหวตคว่ำผู้นำ แต่มันก็ก็แค่การปั่นราคาสร้างมูลค่าให้บรรดาส.ส.ทั้งหลายเท่านั้น
ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น กลเกมพรรคสืบทอดอำนาจที่เกิดกระแสข่าวโหวตคว่ำผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในการลงมติไม่ไว้วางใจหลังการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน ก็แค่การปั่นราคาสร้างมูลค่าทั้งกับตัวผู้ที่คอยดูแลความเป็นอยู่และบรรดาส.ส.ทั้งหลายเท่านั้น เมื่อได้มีการพบกันในวันซักฟอกวันสุดท้ายที่มูลนิธิป่ารอยต่อ ทุกอย่างก็เคลียร์ฝ่ายหนึ่งบอกว่าพร้อมที่จะปรับตัวเข้าหาส.ส. และยืนยันไม่ได้ทำตัวห่างเหิน ขณะที่อีกฝั่งก็ยกมือกราบขอโทษหากทำให้ไม่พอใจ ทุกอย่างก็เป็นอันจบข่าว
แต่หลังจากนี้จะอยู่กันยาว ๆ แบบราบรื่น เรียบร้อยหรือไม่ ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม ประกาศิตของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ว่า “ไม่ปรับครม.-ไม่ยุบสภา” จะเป็นไปตามนั้นและนานแค่ไหน เพราะปฏิกิริยาของรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่เลขาธิการพรรคสืบทอดอำนาจอย่าง ธรรมนัส พรหมเผ่า เท่ากับเป็นการท้าทายไม่ให้เกียรติอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ใครก็ตามต้องเชื่อฟังฉันแต่เพียงผู้เดียว เมื่อเกิดการแข็งข้อในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานจนทำให้ท่านผู้นำกินไม่ได้นอนไม่หลับแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะมีการเอาคืนกันภายหลังหรือไม่
อย่าลืมเป็นอันขาด หลังจากนี้ไปเรื่องที่ฝ่ายรัฐบาลจะต้องอาศัยเสียงของสภาไม่มีแล้ว ทั้งร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2565 และการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จะไม่เกิดขึ้นอีกจนกว่าจะถึงปีหน้า จึงเหลือเพียงแค่การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นวาระของส.ส.กันล้วน ๆ จึงเป็นจังหวะที่เหมาะหากจะต้องเช็คบิลกันภายหลัง เพราะการที่แก๊ง 3 ป.เกิดภาวะถูกลูบคม จนพี่ใหญ่ต้องลั่นวาจาต่อหน้าคนที่แข็งข้อ ”มึงจะให้กูหักหลังน้องกูอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง” ย่อมไม่ธรรมดา
เช่นเดียวกันกับประกาศิตจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ย้ำว่า 3 ป.ไม่มีวันแตกแยกกันได้ เพราะสายสัมพันธ์ไม่ใช่แค่พี่น้องร่วมรุ่นตามสายบังคับบัญชา แต่เหมือนเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ยิ่งร่วมกันสร้างอำนาจและผลประโยชน์มายาวนานกว่า 7 ปียิ่งต้องแน่นปึ้กเป็นพิเศษ หากประเทศยังปกครองด้วยระบอบเผด็จการมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอาคืนใครก็ตามที่บังอาจมาท้าทาย แต่เมื่อยังต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากส.ส.จะหักด้ามพร้าด้วยเข่าคนลำบาก
กระนั้นก็ตาม เค้าลางแห่งรอยปริแยกที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เป็นไปเพราะใครบางคนต้องการเป็นใหญ่แล้วไม่ดั่งใจ หากแต่เป็นเรื่องของความเหินห่างและเลือกที่จะเอาใจบางพวก บางฝ่ายจนลืมไปว่าที่สามารถสืบทอดอำนาจอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คอยหนุนหลังอยู่ จึงจะมาอ้างว่ามีภาระงานที่ต้องสะสางจำนวนมากจึงไม่มีเวลาดูแล ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของพี่ใหญ่จัดการไป ได้สัมผัสจากปฏิกิริยาหนนี้แล้วการเมืองในบริบทของนักเลือกตั้งทำแบบนั้นไม่ได้
ขณะเดียวกัน หนนี้แม้พี่ใหญ่จะแสดงบทบาทต่อการกระชับความสัมพันธ์ประสานความเข้าใจกับฝ่ายแข็งข้อกับน้องเล็ก เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่มีส่วนรู้เห็นกับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น แต่ก็เป็นที่รู้กันการระบายความอึดอัดที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ว่าใครนึกจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ มันต้องมีที่มาที่ไปและได้รับการหลิ่วตาข้างหนึ่งจากฝ่ายที่มีอำนาจสูงสุด ถามว่าคนอย่างธรรมนัสจะลุกขึ้นมาทำหน้าที่หัวหมู่ทะลวงฟันจากเพียงแค่คำยุยงของเหล่าเด็กในคาถาอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่เฉพาะเรื่องตำแหน่งแห่งหนทางการเมืองที่เอาแต่ประเคนพวกเดียวกันหรือเอาใจพวกที่เป็นกองหนุนแบบไม่ต้องลงทุนเท่านั้น แต่หากการดูแลอย่างถึงอกถึงใจพระเดชพระคุณท่านทั้งหลาย ก็ไม่ควรที่จะยกให้เป็นภาระของแกนนำหลักภายในพรรคเพียงอย่างเดียว เพราะบางอย่างไม่จำเป็นต้องควักมาจ่าย แต่ขอแค่ไฟเขียวอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาส.ส.ที่มีช่องทางทำมาหากินกันอยู่แล้วเท่านั้นก็เพียงพอ ที่ผ่านมาผู้แทนจากพรรคสืบทอดอำนาจได้แต่มองเพื่อนในพรรคร่วมรัฐบาลสวาปามกันอย่างอิ่มหมีพีมัน
คำพูดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่บอกว่า ”ผมจะปรับตัว เรื่องอะไรที่ไม่ผิดกฎหมายก็เสนอกันมาจะดูแลให้” ในการเคลียร์ใจกันที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ กับข้อเรียกร้องขอให้ใส่ใจบรรดาส.ส.ของพรรคแกนนำรัฐบาลนั้น คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนท่านผู้นำตั้งการ์ดสูงเกรงจะถูกครหาเรื่องโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ จึงมีการวางกฎ กติกาแบบหยุมหยิม ชนิดพวกเดียวกันจะขอหยิบชิ้นปลามันบ้างไม่ได้ ผิดกับโครงการขนาดใหญ่ของฝ่ายใกล้ชิดที่สามารถสั่งการเรื่องกระบวนการตรวจสอบได้ กลับไม่ถูกกีดกัน
รอดูกันว่าหลังจากนี้งบประมาณปี 2565 ที่จะเริ่มมีผลต้นเดือนหน้า จะเป็นไปตามที่ผู้สนับสนุนในพรรคสืบทอดอำนาจอยากให้เป็นหรือไม่ ถ้ายังสะดุดเหมือนเดิมแสดงว่าถูกหลอกกันอีกแล้ว ซึ่งก็ต้องไปดูต่ออีกว่าถึงเวลานั้นลูกพี่ที่คอยดูแลยังมีตำแหน่งแห่งหนอยู่ในรัฐนาวาอีกหรือไม่ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น 10 กันยายนนี้ต้องรอดูการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่ ชวน หลีกภัย นัดประชุมรัฐสภาจะผ่านความเห็นชอบหรือไม่
เรื่องนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความจริงใจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพราะร่างแก้ไขจะผ่านหรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงของส.ส.ที่จะโหวตกัน หากแต่อยู่ที่ส.ว.ซึ่งต้องให้ความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 1 ใน 3 ของสมาชิกที่มีอยู่ หากไม่มีการคว่ำกันในชั้นนี้หรือไม่มีใครจะไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็แสดงว่า ท่านผู้นำและพลพรรคของขบวนการสืบทอดอำนาจต้องการให้เกิดการแก้ไขอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของประชาชนแต่อย่างใด
อย่างที่รู้กัน การกุลีกุจอแสดงออกถึงการอยากแก้ไขเป็นพิเศษของมือกฎหมายประจำพรรคสืบทอดอำนาจ และต้องการเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งจากบัตร 1 ใบเป็น 2 ใบ ทั้งที่ขบวนการวางแผนเพื่ออยู่ยาวที่เขียนกันมาแบบนี้เพื่อต้องการจำกัดเส้นทางเข้าสู่อำนาจของพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะนั้น มองเห็นแล้วว่าเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคของตัวเองจะติดปัญหาเรื่องจำนวนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่อาจจะไม่ได้เหมือนกัน และทำให้เป็นปัญหาในการรวบรวมเสียงอีก
นอกจากนั้น จะได้แก้ปัญหาเรื่องส.ส.ปัดเศษที่มือกฎหมายของตัวเองก็ถูกกระแนะกระแหนมาโดยตลอด อย่างที่เห็นกันมีการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการตั้งส.ส.ร.ที่มาจากตัวแทนของประชาชนกลับถูกตีตก อ้างสารพัดเหตุผล แต่หนนี้เดินหน้าจะแก้ไขกันให้ได้ด้วยการยกเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นปัจจัยขับเคลื่อน นี่แหละที่เขาเรียกว่าเผด็จการอย่างหนาของแท้