พาราสาวะถี

ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ กับ ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่เหมือนเดิมอีกแน่นอนเพราะ แก๊ง 3 ป.คอยกำกับบท แต่ที่แสดงออกมันเกินคำว่าจะมีไมตรีที่ดีต่อกัน


แก้วที่มันร้าวยากที่จะประสานให้เหมือนเดิม แม้จะได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อไป แต่ความรู้สึกระหว่าง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ กับ ธรรมนัส พรหมเผ่า ย่อมไม่เหมือนเดิมอีกแน่นอน การที่ฝ่ายหนึ่งยอมยกมือไหว้ขอโทษ ขณะที่อีกฝ่ายก็พร้อมที่จะปรับตัวไม่ห่างเหินบรรดาส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจเหมือนที่ผ่านมาตามคำเรียกร้องของคนที่เป็นแม่บ้านพรรค นั่นเป็นเพราะมีพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.คอยกำกับบท แต่ท่วงทำนองที่แสดงออกต่อกันมันเกินคำว่าจะมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันได้

มันถูกตอกย้ำด้วยภาพของ สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยจากกลุ่ม 4 ช. ที่ดอดเข้าพบผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถึงตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่เพิ่งผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจหมาด ๆ และก็เป็นสันติคนนี้นี่แหละกับพวกส.ส.อีกจำนวนหนึ่งที่เข้าพบท่านผู้นำที่รัฐสภาในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนถูก วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ตีกินว่าเป็นการเรียกเข้าพบเพื่อแจกเงินคนละ 5 ล้านบาทแลกคะแนนเสียงไว้วางใจ

การเข้าพบผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่ เพราะจะอ้างว่าเรียกเข้าหารือถึงการเตรียมมาตรการช่วยเหลือประชาชนอันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 ก็คงไม่ใช่ หากเป็นประเด็นนี้ไม่มีทางที่คนอย่างสันติจะถูกเชิญไปพบ รู้กันดีอยู่ว่าท่านผู้นำนั้นไว้วางใจมือไม้ด้านเศรษฐกิจที่เป็นคนใกล้ตัวของตัวเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และรมว.พลังงาน และอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง

ดังนั้น เรื่องนี้จึงถูกมองเป็นประเด็นทางการเมืองสถานเดียว ขณะที่รายงานข่าวจากพรรคสืบทอดอำนาจก็ยืนยันตรงกันสันติได้แยกตัวออกมาจากกลุ่ม 4 ช.แล้วนับแต่วันที่ดอดเข้าพบผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่รัฐสภา และถือเป็นตัวตั้งตัวตีปกป้องท่านผู้นำอย่างเต็มที่ ในจังหวะที่ธรรมนัสแกนนำกลุ่ม 4 ช.เคลื่อนไหวเพื่อรวบรวมเสียงในการโหวตคว่ำตามที่ปรากฏเป็นข่าว เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่บอกไว้วันก่อนเรื่องไม่ปรับครม.จึงเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก

เพียงแต่ว่า หากจะขยับกันรอบนี้คนที่ภักดีท่ามกลางภาวะวิกฤติอย่างสันติจะจัดวางให้ไปคุมกระทรวงไหน เมื่อสองกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างพลังงานและคลังที่อยู่ในโควต้าของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ได้คนที่ตัวเองไว้วางใจมากที่สุดมากุมบังเหียนแล้ว ส่วนกระทรวงเกรดเออื่นในโควต้าของพรรคร่วมรัฐบาลก็แตะไม่ได้ เมื่อเพื่อนได้แสดงออกถึงการไม่ทรยศในยามหน้าสิ่วหน้าขวานจึงป่วยการที่จะไปทำให้เกิดแรงกระเพื่อมโดยใช่เหตุ

อย่างไรก็ตาม จังหวะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังไม่บุ่มบ่ามปรับครม.นั้น สถานการณ์ภายในพรรคสืบทอดอำนาจสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับพี่ใหญ่ 3 ป.ขึ้นมาอีก เพราะเมื่อเกิดการแยกกลุ่ม แบ่งฝ่าย นั่นหมายถึงภาระที่จะต้องเข้าไปดูแลเพื่อให้เกิดความพอใจของทุกฝ่าย มิเช่นนั้น จะเกิดเป็นคลื่นซัดสาดทำให้เสียขบวนของการสร้างทัพรับศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ และความแปรปรวนที่เกิดขึ้นภายในพรรคแกนนำรัฐบาล ก็จะส่งผลต่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะถกวาระสามกันในวันที่ 10 กันยายนนี้ด้วย

หากไม่มีปัญหาเกิดขึ้นในช่วงซักฟอก ว่ากันว่า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามส่งสัญญาณให้ส.ว.ลากตั้งยกมือหนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีบัตร 2 ใบอย่างเต็มที่ เพราะเล็งเห็นแล้วว่าอนาคตของพรรคที่สนับสนุนตัวเองนั้น จะเติบใหญ่และในการเลือกตั้งครั้งต่อไปจำนวนส.ส.จะได้ไม่น้อยกว่าหนนี้ เผลอๆอาจเบียดกับพรรคเพื่อไทยแบบหายใจรดต้นคอ ซึ่งนั่นหากไม่แก้ไขจะกลายเป็นว่าส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็จะไม่มีแม้แต่คนเดียวเหมือนที่พรรคนายใหญ่เคยประสบมาก่อนแล้ว

แต่พอมาเจอกลเกมต่อรองอย่างหนักหน่วง สร้างความปั่นป่วนจนตัวเองโรคเครียดกำเริบจากที่เคยคิดว่าพรรคที่เป็นผู้สนับสนุนหลักใส่เสื้อไซส์เอสแล้วไม่น่าจะพอต้องขยายไซส์เสื้อให้ใหญ่ขึ้นด้วยการแก้รัฐธรรมนูญให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ต้องบังคับให้ใส่ไซส์เดิม มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น มิเช่นนั้น ก็จะเกิดความเหิมเกริมกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อกรเรียกร้องเหมือนหนนี้อีก ท่วงทำนองนี้ของท่านผู้นำอ่านได้ไม่ยากจากปฏิกิริยาของส.ว.ลากตั้ง

สิ่งที่ สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านพูดถึงการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสามที่ว่า หากคิดถึงข้อดีข้อเสียของบัตรสองใบทางหลักวิชาการ รวมทั้งความต้องการของประชาชน ก็น่าจะผ่าน แต่ถ้าไม่ยึดหลักก็เสี่ยงมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เมื่อล่าสุด วันชัย สอนศิริ ที่อ้างว่าคุยกับเพื่อนส.ว.จำนวนมากเห็นว่า การแก้ไขครั้งนี้เป็นเรื่องของพรรคการเมือง และนักการเมืองล้วน ๆ ไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง

ไม่เพียงเท่านั้น วันชัยยังยอมรับด้วยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านพ้นไปเกิดแรงกระเพื่อมไปทุกฝ่าย และเชื่อเหลือเกินว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งบรรดาพรรคการเมืองด้วยกัน รวมถึงส.ว.อยู่ระหว่างก่ำกึ่งด้วยกัน แม้จะบอกว่าไม่ได้มีผลโดยตรง แต่ก็เกิดแรงกระเพื่อมในการเปลี่ยนแปลงเรื่องการโหวตได้ ซึ่งก็สอดรับกับสิ่งที่พี่ใหญ่ 3 ป.พูดกับส.ส.ของพรรคเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ส.ว.จะโหวตคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3

คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่การขู่อย่างแน่นอน รู้กันอยู่แล้วว่าใครคือผู้มีพระคุณของส.ว.ลากตั้งทั้ง 250 คน ขณะเดียวกันหากไปพิจารณากระบวนการแก้ไขและเนื้อหาที่มีการปรับเปลี่ยนในวาระ 2 ก็จะเห็นว่ามีบางประเด็นที่ทั้งฝ่ายส.ว.และฝ่ายที่จ่อจะยื่นให้เกิดการตีความจับจ้องอยู่ อยู่ที่ว่าผู้ที่กุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจะชี้ให้เป็นไปในทิศทางไหน ในเมื่อทุกอย่างสั่งได้อยู่แล้ว ถ้าอยากไปต่อและอยู่ยาวโดยไม่ต้องมาเสียศักดิ์ศรีคอยพินอบพิเทานักเลือกตั้งเหมือนก่อนการโหวตไว้วางใจ ก็ต้องมัดมือมัดเท้าแบบเดิมแล้วหาสูตรทางการเมืองใหม่ ซึ่งง่ายกว่าการยอมแล้วถูกตลบหลัง

Back to top button