ตู่ตีมึน
ประยุทธ์กำลังตีมึนต่อทุกปัญหา ตั้งแต่ล้มเหลวโควิด คนด่า ม็อบไล่ ไปจนความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ ถึงขั้นปลด 2 รัฐมนตรีของประวิตร
ประยุทธ์กำลังตีมึนต่อทุกปัญหา ตั้งแต่ล้มเหลวโควิด คนด่า ม็อบไล่ ไปจนความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ ถึงขั้นปลด 2 รัฐมนตรี “เส้นเลือดใหญ่” ของประวิตร
โควิดยังติดเชื้อวันละหมื่นสี่หมื่นห้า แม้แนวโน้มลดลง ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ สธ.กับเลขา สมช.ที่กำลังจะเกษียณ คลายล็อกแบบใจดีสู้เสือ แค่เชื่อว่าคนฉีดวัคซีนเยอะแล้ว หรือติดเชื้อจนหายเองเยอะแล้ว เดินหน้าเปิดเมือง ทั้งที่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์คนติดเชื้อเป็นเบือ
ม็อบออกมาไล่มากแค่ไหน ประยุทธ์ไม่แยแส โยนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ไม่ยอมรับว่าเป็นปัญหาการเมือง ความล้มเหลวของรัฐบาล ให้ตำรวจใช้กำลังเข้าสลาย ใช้รถฉีดน้ำ ใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ออกหมายเรียกหมายจับ คุมขังไม่ให้ประกัน จนบานปลายเป็น “เยาวรุ่นทะลุแก๊ส” ตำรวจก็ยิ่งใช้ความรุนแรง ถีบรถ ขับรถชน จับได้แล้วรุมตีอย่างป่าเถื่อน
ประยุทธ์ WFH เก็บตัวปิดปาก ทำงานด้วยการออกคำสั่ง ระบบราชการไร้ประสิทธิภาพ โดยไม่เคยลงไปดูปัญหา พออภิปรายไม่ไว้วางใจ ค่อยออกมาด่ากราด ปากเก่ง สวดมนต์ทุกวัน พ่อแม่สอนให้ใช้วาจาสุภาพ พอเกิดคลื่นใต้น้ำในพรรคพลังประชารัฐ ก็เคลียร์ปัญหาเฉพาะหน้า พอคะแนนผ่านก็ “ไล่ออก” เลขาธิการพรรค
แน่ละ จะไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก 1 ปี งบ 65 ก็เพิ่งผ่าน ประยุทธ์อยู่ได้โดยไม่ต้องแยแสสภา แต่ถ้าดูการประชุมทั้งสภาผู้แทนและประชุมร่วมรัฐสภา 2 วัน ยกเว้นลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ สภาล่มไม่ครบองค์ประชุม เพราะ ส.ส.รัฐบาลแทบไม่เข้าเลย ฝ่ายค้านพยายามช่วยให้ครบ เพื่อจะได้พิจารณากฎหมาย สภาก็ยังล่ม
ประยุทธ์ปลดธรรมนัส ไม่ใช่แค่เรื่องตัวบุคคล แต่เป็นองค์ประกอบลักลั่นของประชาธิปไตยปลอม รัฐประหารสืบทอดอำนาจ ตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเอง แล้วกวาดต้อนกลุ่มก๊วนการเมืองระบบอุปถัมภ์มาตั้งพรรครองมือรองตีนในสภา
การเมืองอุปถัมภ์ฝังรากในสังคมไทย หาเสียงด้วยเครือข่ายหัวคะแนน ที่ต้องใช้น้ำมันหล่อเลี้ยง นักการเมือง “บ้านใหญ่” ทุนท้องถิ่น ใช้บารมีอิทธิพลเส้นสายช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดูแลทุกข์สุขประชาชน สร้างเครือข่ายทั้งน้ำใจและผลประโยชน์จนแยกไม่ออก
ไทยรักไทยเพื่อไทยก็ใช้นักการเมืองระบบอุปถัมภ์ แต่ควบคุมด้วยความนิยมนโยบายพรรคและทักษิณ ประยุทธ์ไม่มีอะไรเลยนอกจากอำนาจบังคับ กับความมั่นใจว่าย้ายพรรคแล้วจะได้เป็นรัฐบาล แต่พอเป็นรัฐบาลแล้วก็ไม่แบ่งปันอำนาจผลประโยชน์ ที่หัวหน้ากลุ่มก๊วนจะนำไปหล่อเลี้ยง ส.ส.ระบบอุปถัมภ์
ที่ผ่านมาก็ผลักภาระให้ “พี่ใหญ่” ทำหน้าที่ “หัวจ่าย” โดยมี “เทามนัส” เป็นเส้นเลือดใหญ่ พอเข้าสู่ช่วงปลายรัฐบาล พอความนิยมติดลบ แรงกดดันจึงปะทุ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ทุกยุคสมัย รมว.มหาดไทยเป็นเก้าอี้ของเลขาธิการพรรค หรือคนสำคัญในพรรคแกนนำ เพื่อเอื้อต่อการหาเสียง หาโครงการลงพื้นที่ แต่นี่อนุพงษ์คุมเงียบอยู่คนเดียว ครั้นเหลียวไปดูพรรคร่วม ต่างก็มี “โต๊ะ” ของตัวเอง พาณิชย์ เกษตร คมนาคม วัคซีน ATK จะไม่ให้ ส.ส.พปชร.เหลีออดได้อย่างไร
ประยุทธ์ทำเฉยไม่แยแส คงถือว่าคุมอำนาจราชการทหารตำรวจไว้หมด อำนาจหนุนหลังก็ไม่มีตัวเลือกอื่น ดันทุรังไปต่อท่ามกลางความปริแตกทุกภาคส่วน ปล่อยให้ทุกฝ่ายต้องทนแบกรับและหาทางรอดเอาเอง
แบบเศรษฐกิจแย่ ภาคธุรกิจก็ต้องปรับตัวกันเอง ล้มเหลวโควิด ประชาชนก็ต้องช่วยกันเอง อปท. บริษัทห้างร้านซื้อวัคซีนฉีดเอง ม็อบลุกฮือก็ยื้อไปเรื่อย ๆ ไล่ออกหมายเรียกหมายจับให้มันท้อเอง แล้วประกาศจะอยู่จนครบวาระ มันคงง่ายหรอกนะ ถ้าไม่มีระเบิดลูกใหม่เกิดขึ้นอีก
ระบอบประยุทธ์ปริแตกทุกด้าน แต่ประยุทธ์ก็ฉวยมาอ้าง ยิ่งปริแตกยิ่งไล่ไม่ได้ ต้องให้อยู่ต่อไป