พาราสาวะถี

แม้จะต้องปรับตัวตามโลกโดยเฉพาะยุคโซเซียลมีเดีย แต่จิตวิญญาณและจรรยาบรรณในวิชาชีพของความเป็นสื่อสารมวลชนนั้นยังเต็มเปี่ยมอยู่ทุกอณู


หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจรายวันฉบับที่ผ่านสายตาของทุกท่านวันนี้ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 28 ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติของบ้านเมือง แต่กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุนก็ยังคงยืนหยัดนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงและตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของนักลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเราอย่างเต็มที่ แม้จะต้องปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงของโลกโดยเฉพาะยุคโซเซียลมีเดีย แต่จิตวิญญาณและจรรยาบรรณในวิชาชีพของความเป็นสื่อสารมวลชนนั้นยังเต็มเปี่ยมอยู่ทุกอณู

โควิด-19 คงอยู่กับประเทศไทยและโลกไปอีกนานและต้องสู้กันด้วยวัคซีนเป็นด้านหลัก โดยที่ประเทศต่าง ๆ มองกันไปถึงการบูสเข็มที่ 3 และ 4 กันแล้ว แต่ประเทศไทยหมอการเมืองยังคงตั้งหน้าตั้งตารับบัญชาของฝ่ายชี้นิ้วเพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ ไม่ต่างกันนักเลือกตั้งที่คอยเฝ้าเชลียร์นายก็ทำหน้าที่โพนทะนาสร้างไอโอเพื่อให้ประชาชนเชื่อโดยไม่ลืมหูลืมตา ดูข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่พล่ามออกมานั้นมันคือความจริงที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนหรือไม่

ล่าสุด ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ออกมายกหางนายตัวเองที่คุมกระทรวงสาธารณสุข ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็ป่าวประกาศไปว่าถูกรวบอำนาจ ไม่ได้มีสิทธิขาดในการบริหารหรือสั่งการใด ๆ ต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังเผชิญอยู่ แต่วันนี้ออกมาบอกว่าน่ายินดีที่ประเทศไทยมีคนได้ฉีดวัคซีนไปแล้วเกือบ 42 ล้านโดส ประมาณว่าตอบโต้พวกนักวิจารณ์ทั้งหลายแหล่ ถ้าบวกเลขแบบเด็กอนุบาลแล้วคิดตื้น ๆ มันก็ชวนให้ดีใจอยู่หรอก

แต่ศุภชัยคงลืมไปว่าจำนวนโดสที่ได้ฉีดไปแล้วนั้น หากหวังผลในแง่ประสิทธิภาพของการป้องกันโรคหรือลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ถือว่ายังห่างไกลจากความเป็นจริง เพราะถ้าจะให้วัคซีนมีประสิทธิผลเต็มที่อย่างน้อยประชาชนต้องได้รับการฉีด 2 เข็มไปแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 หรือครึ่งค่อนประเทศ แต่จำนวนตัวเลขที่ฉีดได้กว่า 40 ล้านโดสที่หมอการเมืองทั้งหลายชอบอ้างนั้น พอแยกออกเป็นเข็ม 1 เข็ม 2 แล้วพบว่า คนที่ฉีดครบสองเข็มมีเพียงแค่ 13,260,456 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 18.4 เท่านั้น

ตัวเลขลักษณะนี้ถ้าคนภูมิใจไทยคุยกับหมอการเมืองก็คงจะหลงใหลได้ปลื้มกันเป็นแน่ แต่หมออาชีพทั้งหลายไม่ได้คิดเช่นนั้น และยังแสดงความเป็นห่วงกันอีกต่างหาก ยิ่งมีข่าวว่าจะเปิดเทอม เปิดประเทศ ด้วยสถานการณ์ตัวเลขผู้ป่วยที่เริ่มลดลงและตัวเลขการฉีดวัคซีนที่ชอบอ้างกันอยู่นั้น กรณีนี้ ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งคำถามไว้อย่างน่าสนใจ

จำนวนวัคซีนที่ว่าพอ…พอจริงหรือ? สำหรับที่ต้องฉีดเดี๋ยวนี้ วันนี้ สำหรับคนไทยและแรงงานต่างชาติทั้งหมด สำหรับคนไทยและทุกคนตั้งแต่เด็ก 2 ขวบขึ้นไป และต้องเสร็จสิ้นกระบวนการภายใน 2 เดือนไม่เกิน 3 เดือนนี้ และเมื่อเด็กเปิดเทอมจะเกิดอะไรขึ้น อนุบาล ประถม มัธยม โดยวัคซีนที่ปลอดภัยที่สุด และจำนวนวัคซีนที่ว่าพอ…พอหรือไม่สำหรับคนไทยทั้งประเทศที่ต้องฉีดกระตุ้นซ้ำซากในอนาคต ทุก ๆ 3-4 เดือน? นี่คือคำถามหมออาชีพที่ตั้งปุจฉาถ้าจะคุมให้อยู่วัคซีนต้องพอจริงไม่ใช่แค่ปั้นตัวเลขแล้วพอใจ

ไม่เพียงเท่านั้น การนำเสนอข้อมูลทางวิชาการว่าด้วยประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงหลังเวลาผ่านไประยะเวลาหนึ่งโดย นายแพทย์มานพ  พิทักษ์ภากร  หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหันมามองกันว่าสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจฝันหวานภายใต้คำแนะนำของหมอการเมืองทั้งหลายนั้น เป็นการแก้ไขเฉพาะหน้าเอาแค่ให้รอดพ้นจากการถูกด่าไปก่อน โดยไม่ได้มองถึงผลในระยะยาวหรือไม่

โดยนายแพทย์มานพชี้ว่า ประสิทธิผลของวัคซีนลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ผู้สูงอายุและมีโรคร่วมจะลดลงเร็วกว่ากลุ่มอื่น เมื่อเดือนที่แล้วมีข้อมูลจาก Office for National Statistics UK เป็นข่าวดังที่รายงานว่าประสิทธิผลของวัคซีน AstraZeneca ลดลงช้ากว่า Pfizer จนอาจมีระดับพอ ๆ กันเมื่อ 4 เดือนหลังฉีดวัคซีน จากนั้นมีข้อมูลเผยแพร่จาก ZOE COVID cohort ที่แสดงต่างออกไปคืออัตราการลดลงของประสิทธิผลวัคซีนทั้ง 2 ชนิดพอ ๆ กัน

ขณะที่เมื่อคืนวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา Public Health England เผยแพร่ข้อมูลชุดของตนเองใน preprint พบว่าอัตราการลดลงของประสิทธิผลของวัคซีนที่ใช้ในอังกฤษลดลงทั้ง 3 ชนิด โดยที่ AstraZeneca และ Pfizer ลดลงในอัตราส่วนพอ ๆ กันแทบจะเป็นเส้นขนาน เมื่อติดตามไปอย่างน้อย 5 เดือน ประสิทธิผลของวัคซีน Pfizer ก็ยังคงสูงกว่า AstraZeneca ที่น่าเป็นห่วงคืออัตราลดลงในกลุ่มเปราะบาง คือคนสูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคร่วม ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรืออยู่บ้านพักคนชรา จะลดลงเร็วกว่ากลุ่มอื่น

ข้อมูลนี้น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ JCVI แนะนำให้เริ่มฉีดวัคซีนเข็มสามในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ก่อน หลังได้รับวัคซีนครบอย่างน้อย 6 เดือน โดยใช้ Pfizer เป็นวัคซีนหลัก ข้อสังเกตของ Moderna ดูเหมือนประสิทธิผลจะคงอยู่ในระดับสูงกว่า Pfizer สอดคล้องกับข้อมูลจาก Mayo Clinic และ CDC แต่ระยะติดตามของอังกฤษยังสั้นกว่าเนื่องจากเป็นวัคซีนที่เริ่มใช้ทีหลังอีกสองตัว จากข้อมูลวิชาการเช่นนี้ย้อนกลับมาดูมาตรการวัคซีนที่รัฐบาลเตรียมการไว้เป็นไปอย่างเชื่องช้า ถามว่าจะทันการณ์หรือไม่ หากพบเชื้อกลายพันธุ์อีกจะทำอย่างไร

ทั้งหมดเหล่านี้ ไม่ใช่การมุ่งโจมตีผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหรือบั่นทอนกำลังใจของบุคลาการทางการแพทย์ที่มุ่งมั่นทำงาน ความล้มเหลวจากการบริหารจัดการวัคซีนมาตั้งแต่ต้นนั้น มันทำให้ประชาชนเกิดเป็นความกังวลใจ เพราะขนาดตัวเลขของการฉีดก็ยังนำมาเล่นแร่แปรธาตุกันหวังแค่เอาดีเข้าตัว โดยพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวหรือจงใจที่จะให้เป็นเช่นนั้น ตัวเลขไม่โกหกอย่างที่ศุภชัยว่าจริง แต่ตัวเลขที่ต้องยืนยันกับประชาชนว่าจำนวนเท่านี้เพียงพอที่จะป้องกันการระบาดได้แล้วหรือไม่ และวัคซีนแต่ละชนิดในสต็อกที่แท้จริงมีเท่าไหร่ เหล่านี้ต่างหากที่ยังไม่มีใครพูดความจริงชัด ๆ แม้แต่รายเดียว

Back to top button