พาราสาวะถี
จากความเหลิงอำนาจบวกกับความไม่พอใจของฝ่ายที่เสียประโยชน์ จึงสร้างสารพัดข้อกล่าวหาถาโถมใส่นายกรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดของประเทศไทย
รัฐประหารคือตัวถ่วงความเจริญของประเทศ 15 ปีที่แล้ว 19 กันยายน 2549 พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจจาก ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่เป็นผู้นำรัฐบาลพรรคเดียวด้วยชัยชนะที่ท่วมท้นจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 และถูกมองว่าจะอยู่ยาวด้วยพื้นฐานของเสียงในสภาที่มั่นคง แต่จากความเหลิงอำนาจบวกกับความไม่พอใจของฝ่ายที่เสียประโยชน์ จึงสร้างสารพัดข้อกล่าวหาถาโถมเข้าใส่นายกรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดของประเทศไทย
วาทกรรมสารพัดทั้งระบอบทักษิณ เผด็จการรัฐสภา แม้กระทั่งเรื่อง “ปฏิญญาฟินแลนด์” ที่ทำให้ใครบางคนติดคุกติดตะรางมาแล้ว ถูกปลุกขึ้นถี่ยิบ แต่อวสานของทักษิณที่ทำให้ม็อบขับไล่ปลุกขึ้นคือการขายหุ้นชินคอร์ป เมื่อทุกอย่างเดินเข้าทางปืน บิ๊กบังก็อาศัยยุทธการลับ ลวง พราง ยึดอำนาจในวันที่ทักษิณไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นิวยอร์ค จากนั้นก็ผ่องถ่ายอำนาจให้รัฐบาลขิงแก่บริหารประเทศ พร้อมกับการเขียนรัฐธรรมนูญปี 2550 ขึ้นมาบังคับใช้
แต่ปรากฏว่ารัฐประหารครั้งนั้น “เสียของ” เพราะหลังเลือกตั้งก็ได้พรรคพลังประชาชนมาบริหารประเทศภายใต้การนำของ สมัคร สุนทรเวช จากการเดินเกมทางการเมืองที่เป็นเหมือนลมใต้ปีกของ เนวิน ชิดชอบ ที่เวลานั้นยังเป็นลูกรักของนายใหญ่ จนกระทั่งมาเกิดเหตุลุงหมักถูกปลดด้วยพจนานุกรมจากการทำกับข้าวออกทีวี จึงมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกตัวผู้นำคนใหม่ ท่ามกลางกระแสข่าวที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จนกระทั่งคนแดนไกลตัดสินใจใส่ชื่อน้องเขย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาเป็นตัวเลือกและได้รับเสียงโหวตในที่สุด
ทว่าสมชายก็กลายเป็นนายกฯคนแรกและคนเดียวที่ไม่ได้ทำงานในทำเนียบรัฐบาล เพราะม็อบระบอบสนธิ-จำลองภาคสองในเวลานั้นได้บุกยึดทั้งทำเนียบฯและสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งสนามบินดอนเมืองที่นายกฯใช้เป็นสถานที่ทำงาน แต่หนนี้ไร้การรัฐประหาร กลับเกิดการเล่นแร่แปรธาตุหลังมีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชนพร้อมสองพรรคการเมืองคือชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย ด้วยการไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จากการแปรพักตร์ของงูเห่าภายใต้การบัญชาการของเนวินกับวลีทอง “มันจบแล้วครับนาย”
หลังจากนั้นก็ได้รัฐบาลไข่ในหินที่มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ก็เข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างชัดเจนตั้งแต่เวลานั้น โดยที่มีสองน้องรักเป็นผู้สนับสนุนหลัก หนึ่งในนั้นที่สำคัญ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ได้แสดงธาตุแท้ทางการเมืองให้เห็นตั้งแต่สมัยรัฐบาลสมัครที่ตัวเองเป็นผู้บัญชาการทหารบกด้วยการสัมภาษณ์ผ่านทีวี ถ้าเป็นตนหากมีม็อบมาไล่ขนาดนี้ก็คงจะพิจารณาลาออกไปแล้ว ขณะที่การเมืองในปัจจุบันกับม็อบที่เป็นอยู่ พี่รองกลับไปยักแนะนำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพิจารณาตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะวางเกมเพื่อกำจัดเครือข่ายของทักษิณไว้อย่างไร ซึ่งในรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้สำเร็จเพื่อเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ โดยหวังว่าตัวเองและพรรคร่วมจะได้เปรียบ จึงเกิดการยุบสภาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในปี 2554 แต่ปรากฏว่าประชาธิปัตย์และพรรคที่ไปร่วมกันตั้งรัฐบาลในค่ายทหารพ่ายแพ้หมดรูป ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งดูเหมือนว่าน่าจะอยู่บริหารประเทศได้ครบเทอม
สุดท้าย เมื่อเกิดการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นและนำไปสู่จุดจบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในที่สุด ทำให้เกิดการรัฐประหารครั้งที่สองในห้วงระยะเวลาที่ห่างกันไม่ถึง 8 ปี เป็นการทุบโต๊ะรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คนที่บอกว่าจะไม่ทำ แต่ภายหลังก็มีการสารภาพกันว่ามีการวางแผนเพื่อการนี้กันมายาวนานถึง 3 ปี และเกิดเป็นขบวนการสืบทอดอำนาจจนมาถึงปัจจุบัน ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ในตำแหน่งบริหารประเทศกว่า 7 ปี
คำถามที่สำคัญคือ 15 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน จนเกิดรัฐประหารดาบสองในช่วงกว่า 7 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรจากการที่ทหารกลุ่มหนึ่งทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าพิจารณาเฉพาะเครือข่ายแก๊ง 3 ป. ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) ฉายภายให้เห็นว่า แก๊ง 3 ป.มีส่วนกับขบวนการเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น กล่าวคือ ปี 2549 พลเอกประวิตรเป็นอดีตผบ.ทบ. พลเอกอนุพงษ์เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลังสำคัญรัฐประหาร หลังจากนั้นคนกลุ่มนี้เป็นผบ.ทบ.ต่อเนื่องกัน
มีการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร มีการปราบปรามประชาชนจนบาดเจ็บล้มตายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และสมคบคิดกับขบวนการกปปส.จนยึดอำนาจปี 2557 คสช.อยู่ยาวกว่า 5 ปี มีรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาให้มีนายกฯชื่อประยุทธ์เท่านั้น และครองอำนาจยาวนาน โดยมีส.ว.ลากตั้ง 250 คน เป็นหลักประกันที่จะอยู่ต่อไป ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่คนเหล่านั้นทำตามอำเภอใจ และมันเกิดขึ้นได้เพราะการมองไม่เห็นหัวประชาชน
ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการที่วางไว้เพื่อค้ำยันอำนาจของตัวเองสำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น กรณีการปลดสองรัฐมนตรีที่เปรียบเหมือนแขนขวาและนิ้วนางข้างซ้ายของพี่ใหญ่ตัวเอง เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจน การตัดสินใจเช่นนี้ไม่ใช่แค่ทำให้เห็นว่าตัวเองมีอำนาจเด็ดขาด และยังไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณชัด ๆ ว่าจะเข้าไปจัดการปัญหาภายในพรรคสืบทอดอำนาจด้วยตัวเอง หากแต่เหมือนเป็นการเตือนนักเลือกตั้งทั้งหลาย ไม่ว่าเหตุการณ์จะจบลงอย่างไร ไม่มีวันที่นักการเมืองและพรรคการเมืองจะได้เปรียบแน่นอน
เพราะหากรัฐบาลอยู่ไม่ได้ต้องยุบสภา กติกาที่ว่าด้วยบัตรเลือกตั้ง 2 ใบอาจไม่ทันนำมาบังคับใช้ เลือกตั้งไปก็ได้ผู้นำประเทศคนเดิมอยู่ดี ส่วนถ้าดันทุรังกันต่อไปแล้วเกิดปัญหาขัดแย้งบานปลาย กลายเป็นว่ามีอำนาจแต่บริหารจัดการอะไรไม่ได้ ทุกอย่างหยุดชะงักโดยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใด ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นวังวนรัฐประหาร และทุกอย่างก็ยังเข้าทางขบวนการของคนกลุ่มเดิมที่เป็นตัวถ่วงความเจริญประเทศต่อไป