SELIC รุกคืบในแดนมหัศจรรย์
หลังจากที่ผลประกอบการครึ่งแรกของปีทำนิวไฮ มีการรุกคืบเพื่อลัดเร่งให้บุ๊กแวลูของบริษัทกลับมาเหนือกว่าตอนจ่ายปันผลเป็นหุ้นเมื่อต้นปีนี้
หลังจากที่ผลประกอบการครึ่งแรกของปีทำนิวไฮ นับแต่ก่อตั้งบริษัทและแต่งตัวระดมทุนในตลาดมานานกว่า 5 ปี เรียบร้อยตามเป้าหมาย ปฏิบัติการรุกคืบ เพื่อโตทางลัดเร่งให้บุ๊กแวลูของบริษัทกลับมาเหนือกว่าตอนจ่ายปันผลเป็นหุ้นเมื่อต้นปีนี้
ล่าสุดแผนรุกคืบก็เปิดเผยออกมาเมื่อ SELIC เตรียมเข้าลงทุนสตาร์ตอัพพัฒนากระดูก-ข้อต่อเทียมไม่เกิน 100 ล้านบาทในไตรมาสนี้
การรุกคืบธุรกิจเข้าลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัพที่ใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการพัฒนากระดูกและข้อต่อเทียมด้วยเทคโนโลยี AI และ 3D Printing ซึ่งก่อตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ และมีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมที่จะสามารถต่อยอดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่จะทำให้ธุรกิจเจริญเติบโตได้
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของบริษัทดังกล่าวได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว และได้นำผลิตภัณฑ์ไปใช้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาลมากกว่า 400 เคส
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SELIC เปิดเผยว่าบริษัทจะเข้าลงทุนในบริษัทดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 3/2564 ด้วยงบลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทยังมีโครงการลงทุนที่อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้อีก 2-3 โครงการ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่ม โดยผลิตภัณฑ์แรกที่เป็นสารที่ใช้ห่อหุ้มส่วนผสม (Encapsulation) เพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ เครื่องดื่ม และยา เกิดความล่าช้า จากสถานการณ์โควิดทำให้เกิดความไม่สะดวกในการทดสอบผลิตภัณฑ์ในห้องแล็บ แต่ยืนยันว่าโครงการนี้ยังเดินหน้าศึกษาต่อไป
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ สำหรับกาวอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกาวประเภทรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับบริษัท และกาว Hot Melt ชีวภาพ ซึ่งน่าจะส่งเข้าสู่ตลาดได้ภายในปีนี้
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับไลน์การผลิตเดิม ถือเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดมาก่อน แต่ถ้าหากประเมินผลลัพธ์ในอนาคตว่าเกินคุ้ม ก็น่าเสี่ยง
โดยข้อเท็จจริง บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน)หรือ SELIC เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกาวอุตสาหกรรมสัญชาติไทย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีกาวอุตสาหกรรมแบบครบครันแก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ โดยครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิโดดเด่น เติบโตถึง 59.08 ลบ. เติบโต 52% ท่ามกลางสถานการณ์ท้าทาย นับเป็นหนึ่งในหุ้นเทิร์นอะราวด์แห่งปีนี้
ที่ผ่านมา การขยับตัวเชิงรุก จากผู้ผลิตกาวอุตสาหกรรมที่มีฐานลูกค้าแบบ B2B เหนียวแน่น เสมือนปิดทองหลังพระมายาวนาน ธุรกิจมีกำไรตลอด แต่ไม่มากพอจะดันราคาหุ้นที่หลุดจองไปต่ำใต้ 2.60 บาทมายาวนาน นับแต่เข้าตลาดกันเลยทีเดียว แต่ด้วยความใจสู้ของผู้บริหารที่เข้าใจและอดทน เดินเกมเทคโอเวอร์กิจการเพื่อทำธุรกิจแบบ B2C ซึ่งมาทันผลิดอกออกผลในช่วงวิกฤตโควิด-19 ระบาดพอดี ผลลัพธ์จึงปรากฏเป็นยอดขายที่เติบโตสวยงาม และกำไรเติบโตชนิดก้าวกระโดด จนถึงล่าสุดกล้าหาญออกหุ้นปันผล บวกเงินสดและเงินชดเชยสำหรับนักลงทุนที่ได้หุ้นเพิ่มทุนไม่ครบบอร์ดล็อต อีกต่างหาก รวมความแล้วจ่ายปันผลเฉลี่ยมากกว่า 15% ถือว่าจ่ายปันผลมากระดับหัวแถวของตลาดหุ้นไทยเลยทีเดียว
ด้วยรายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมสัดส่วน 41% และรายได้จากธุรกิจสติ๊กเกอร์ 59% จากตัวเลขจากทั้ง 2 ธุรกิจหลักมีการเติบโต คือ รายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมอยู่ที่ 605.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.8% และรายได้จากธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวอยู่ที่ 445.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่คาดว่าในไตรมาส 3/2564 ว่าน่าจะออกมาทรงตัว หรือลดลงจากไตรมาส 2/2564 เพียงเล็กน้อย เนื่องจากในช่วงต้นไตรมาสภาพรวมของประเทศไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้กำลังซื้อของภาคประชาชนลดลง
เมื่อแนวโน้มธุรกิจเดิมเริ่มเติบโตช้าลง การหาธุรกิจใหม่ จึงเป็นความจำเป็นและโอกาสใหม่พร้อมกันไปในตัว แต่ก็มีความเสี่ยงมาแทรกปนอย่างเลี่ยงไม่พ้น
ราคาหุ้นของ SELIC ที่สะดุดแถวรอบ ๆ 3.20 บาท สะท้อนความกังวลออกมาชัดเจน แต่ เรื่องทำนองนี้ ไม่ใช่สิ่งแปลก เพราะเคยเกิดเหตุทำนองเดียวกันกับกรณีที่ SELIC เคยเข้าซื้อกาวสติ๊กเกอร์มาแล้ว ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา ถือว่าดีเกินคาด
คราวนี้ก็หวังว่า ผู้บริหารหนุ่มสาวของ SELIC จะไปได้สวย แม้จะเป็นการรุกในธุรกิจที่ไม่ถนัดมาก่อน เฉกเช่น อลิซ ท่องแดนมหัศจรรย์