พาราสาวะถี
นักเลือกตั้งจมูกไวย่อมได้กลิ่นอายของความไม่แน่นอน อย่างน้อยรอยปริแยกของแก๊ง 3 ป. ก็เป็นลางบอกเหตุอย่างหนึ่ง
การเมืองคึกคักกันอย่างยิ่ง หลังจากที่ จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ส่งหนังสือให้แต่ละพรรคเตรียมพร้อมรับมือการเลือกตั้ง โดยหัวหนังสือลงวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีคำอธิบายไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ แต่ดำเนินการไปตามข้อกฎหมายที่ระบุไว้ ทว่านักเลือกตั้งจมูกไวย่อมได้กลิ่นอายของความไม่แน่นอน อย่างน้อยรอยปริแยกของแก๊ง 3 ป. ก็เป็นลางบอกเหตุอย่างหนึ่ง
แม้บรรดาลิ่วล้อทั้งหลายจะพากันดาหน้าออกมาปฏิเสธ พร้อม ๆ กับย้ำสายสัมพันธ์ที่มีระหว่างพี่น้อง 3 ป. ไม่ได้ขาดสะบั้น อาจมีระหองระแหงแต่ไม่ถึงขั้นตัดขาดหรือไม่ญาติดีกันแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องไปดูพรรคใหม่ที่กุมบังเหียนโดยอดีตปลัดมหาดไทยหมาด ๆ ฉัตรชัย พรหมเลิศ หรือปลัดฉิ่ง มีความเคลื่อนไหวกันแบบไหน ถ้าไม่หวือหวาแค่วูบวาบฉาบฉวยแล้วเงียบกันไป นั่นก็หมายความว่า ที่ริจะตั้งพรรคแข่งกับพี่ใหญ่ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
แต่หากยังคงเดินหน้ากันเข้มข้นและตีปี๊บกันโครมคราม เหมือนอย่างที่ พันเอกสุชาติ จันทรโชติกุล อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ และผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสืบทอดอำนาจ อีกด้านหนึ่งคือเพื่อนของผู้นำเผด็จการ ที่ได้ลาออกจากพรรคแกนนำรัฐบาลไปเมื่อไม่นานมานี้ เที่ยวโพนทะนาเรื่องจะดึงสมาชิกพรรคในพื้นที่ภาคใต้ไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งขึ้น นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะตีจากพี่ใหญ่ไปแสวงหาหนทางที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ โดยไม่ต้องใช้งานพี่คนโตเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่สัมผัสจับต้องได้ กระแสความนิยมในตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนับวันมีแต่จะสาละวันเตี้ยลงจนถึงขั้นติดลบ ประกอบกับเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญที่วางกับดักไว้สุดท้ายวกกลับเข้ามาเตะตัดขาตัวเอง ว่าด้วยข้อห้ามของคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องไม่เกิน 8 ปี จึงเป็นเหตุให้น้องเล็กจำใจต้องยอมเสียสละไม่ขอไปต่อ ครั้นจะไปผลักดันให้พี่ใหญ่ไปถึงเก้าอี้ในฝันก็ไม่น่าจะตอบโจทย์ หรือเห็นชัดเจนว่าจะได้รับการปฏิเสธจากประชาชนอย่างแน่นอน
ด้วยภาพลักษณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน รอยแปดเปื้อนหลายอย่างที่คนส่วนใหญ่ไม่ให้ความไว้วางใจ ดังนั้นการที่จะไปตั้งพรรคใหม่แล้วชูพี่รอง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา มาเป็นทางเลือกสำหรับแคนดิเดตนายกฯ ก็น่าจะไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่โจทย์ใหญ่เวลานี้คือประชาชนกำลังอยู่ในภาวะเบื่อหน่ายกับเครือข่ายอำนาจสืบทอดที่เห็นกันแล้วตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนให้กับประชาชนแต่อย่างใด
หากแต่ปรากฏภาพของรวยกระจุกจนกระจายเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นหากเชื่อในคำสอพลอของบรรดาลิ่วล้อทั้งหลาย ก็ให้เดินหน้าผลักดันกันต่อไป ถ้าจะมองเป็นการแยกกันเดินก็ชวนให้เกิดคำถามตามมาว่า ถ้าเช่นนั้นก็ต้องใช้กระสุนดินดำกันมหาศาล จะไหวหรือไม่หากต้องแยกกระเป๋ากันจ่าย อย่าลืมเป็นอันขาดว่าห้วงระยะเวลาที่ผ่านมากับพลังดูดที่แสดงให้เห็นนั้น ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือไม่มีวันที่คนพวกนี้จะควักกระเป๋าตัวเองให้เข้าเนื้อ ยังมีบรรดากลุ่มทุนที่เกื้อหนุนกันมาพร้อมอัดฉีดช่วยเต็มที่
ตรงนี้ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่อาจจะเรียกได้ว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหากเป็นภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไข บรรดาคอการเมืองมองว่าความได้เปรียบจะตกไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย แต่ในแง่ของกลไก อำนาจรัฐ และระบบแบ่งปันผลประโยชน์ การแจกกล้วยซื้อตัวนักเลือกตั้งนั้นเห็นกันอยู่ว่าขบวนการสืบทอดอำนาจทุ่มกันอย่างเต็มที่ ซึ่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจากเดิมที่ปล่อยให้พี่ใหญ่ไปจัดการทุกอย่าง โดยตัวเองตั้งการ์ดสูง รักษาระยะห่างกับนักการเมืองเต็มที่ แต่วันนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
บทเรียนจากการถูกกดดันอย่างหนักช่วงก่อนลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจรู้แล้วว่า การอ้างเรื่องอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เพื่อตีกันไม่ให้บรรดาส.ส.ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากพรรคแกนนำรัฐบาลวิ่งเข้าหาตนเอง ทำให้ภาพลักษณ์มัวหมองนั้น ใช้ไม่ได้ผล และความเป็นจริงก็เป็นเพียงแค่การสร้างภาพเพื่อไม่ให้ถูกมองว่ามีการล้วงลูกหรือมีอำนาจเหนือพรรคการเมืองเท่านั้น ทั้งที่ทุกเรื่องก็รู้กันอยู่ว่ามีการวางแผนการขับเคลื่อนกันอย่างไรโดยมือกฎหมายสำคัญประจำทำเนียบรัฐบาล
ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้หรือไม่ เวลานี้เริ่มมีสิ่งท้าทายเพื่อให้พรรคสืบทอดอำนาจที่ย้ำว่าไร้ความแตกแยก แก๊ง 3 ป. ยังรักใคร่กันเหนียวแน่น นั่นก็คือการทยอยเปิดรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมือง แม้ว่าระบบเลือกตั้งยังไม่รู้ว่าจะใช้รูปแบบเดิมหรือไม่ แต่เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจและเป็นทางเลือก ซึ่งหากพรรคแกนนำรัฐบาลยังเชื่อมั่นในตัวผู้นำเผด็จการ ก็ต้องประกาศกันให้ชัดเหมือนกับพรรคอื่นว่า ยังคงเป็นแคนดิเดตเพียงคนเดียวของพรรคสู้ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่หรือไม่
เรื่องการดำเนินการหาตัวผู้สมัครของพรรคนั้นถือเป็นสิ่งปกติของพรรคการเมือง บางพื้นที่แม้จะมีตัวอยู่แล้วแต่ต้องไปตัดสินกันในวินาทีสุดท้าย ฟังเสียงประชาชนวัดกระแสนิยมในพื้นที่ก่อนว่าส่งใครลงแล้วหวังผลได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องกันพื้นที่สำหรับส.ส.ย้ายค่ายไว้ด้วย และยังรวมไปถึงหากต้องเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่ เขตเลือกตั้งก็จะต้องมีการแบ่งกันใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งหนนี้ก็ต้องดูกันอีกว่า 7 เสือกกต.จะทำให้เกิดเสียงวิจารณ์เหมือนก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 อีกหรือไม่
ส่วนพรรคเพื่อไทยเรื่องแคนดิเดตนายกฯ ยังไม่รีบร้อนที่จะเคาะ เพราะขอดูทิศทางของระบบเลือกตั้งที่จะออกมาก่อน ถ้าสูตรบัตรสองใบไม่มีอะไรพลิกแพลง จนทำให้มั่นใจได้ว่าจะกำชัยชนะเหนือคู่แข่งก็ต้องมาเช็คเสียงของส.ส.ภายในพรรคกันก่อนว่า แต่ละกลุ่มยังเหนียวแน่นกันขนาดไหน เนื่องจากเวลานี้เริ่มมีการยื่นหมูยื่นแมววัดใจกันแล้วจากฝ่ายที่ทุ่มทุนสร้าง ฝ่ายที่ได้รับข้อเสนอก็กำลังประเมินทั้งกระแสและกระสุน ยิ่งในพื้นที่ภาคอีสานว่ากันว่าบรรดาเจ้าของพื้นที่เดิมต้องคิดหนัก เนื่องจากมีข้อเสนอชนิดยากปฏิเสธมาจากสองพรรครัฐบาล