ROJNA รับข่าวดีจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
ROJNA จะได้รับประโยชน์จากที่ ครม.เห็นชอบให้จัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติม 6 แห่ง โดยที่ 2 ใน 6 แห่งจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท
คุณค่าบริษัท
มีการวิเคราะห์กันว่า บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA จะได้รับประโยชน์จากที่ ครม.เห็นชอบให้จัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติม 6 แห่ง โดยที่ 2 ใน 6 แห่งจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทนั่นเอง
ทั้งนี้มีการประเมินว่า ROJNA จะได้รับประโยชน์เนื่องจาก 2 ใน 6 นิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ โรจนะแหลมฉบัง 698 ไร่ และโรจนะหนองใหญ่ 1,501 ไร่
นอกจากนั้น แนวโน้มการขายที่ดินในนิคมฯ ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2564 ถึงปัจจุบัน ปรับตัวขึ้นมากเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 จากการที่ลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะสัญชาติจีนเริ่มเข้ามาเซ็นสัญญา ทำให้บริษัทมี Backlog กว่า 100 ไร่ ขณะที่คาดช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 จะยังคงดีต่อเนื่องจากการเปิดประเทศ โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายปีนี้อยู่ที่ 300 ไร่ เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ที่ตั้งเป้าการขายที่ดินอยู่ที่ 400-500 ไร่ต่อปี
ส่วนกรณีความเสี่ยงของสถานการณ์น้ำท่วมประเมินว่า ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ จากการประเมิน ณ ปัจจุบัน และ ROJNA ได้ลงทุนไปกว่า 3 พันล้านบาท ในการก่อสร้างกำแพงคอนกรีตสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 6 เมตร ความยาว 79 กม. ล้อมรอบนิคมที่มีกว่า 300 โรงงาน และยังแบ่งงบอีก 300 ล้านบาท เพื่อสร้างกำแพงในเฟสใหม่
อย่างไรก็ตาม รายได้หลักกว่า 80% ของ ROJNA มาจากการขายไฟฟ้าให้กับ EGAT และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ทางฝ่ายวิจัยมองว่ารายได้จากการขายที่ดินจะเป็นปัจจัยหนุน กอปรกับคาดกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินลงทุนใน GULF จะช่วยหนุนงบในไตรมาส 3 ปี 2564 จากการปรับขึ้นของราคาหุ้น GULF จากไตรมาสก่อนด้วย
ขณะเดียวกันจากการมองหาหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ROJNA ก็ถือเป็นอีกตัวหนึ่ง ท่ามกลางผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดจากปี 2560 จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 1,313.26 ล้านบาท ต่อมาในปี 2561 มีกำไรสุทธิ 671.21 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 1,837.98 ล้านบาท ส่วนในปี 2563 มีกำไรสุทธิ 1,382.58 ล้านบาท และในครึ่งแรกปี 2564 มีกำไรสุทธิ 566.68 ล้านบาท
พร้อมด้วยด้านสภาพคล่อง โดยเฉพาะฐานะทางการเงินของบริษัทเพื่อเป็นตัวแปรในการตัดสินใจพบว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทค่อนข้างแข็งแกร่ง เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 25,693.36 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 9,436.90 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 2.72 เท่า แสดงว่า บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินมากเกินความจำเป็น
สิ่งสำคัญเมื่อผลประกอบการโตเด่นก็คงหนีไม่พ้นประเด็นของการจ่ายปันผลที่ทางบริษัทจะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลราว 6% ต่อปี ถือว่าสูง
สำหรับประเด็นข้างต้น บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.70 บาท
….
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
- NIPPON STEEL TRADING CORPORATION 418,960,446 หุ้น 20.74%
- นายดิเรก วินิชบุตร 387,576,028 หุ้น 19.18%
- นายชาย วินิชบุตร 303,154,145 หุ้น 15.00%
- SMK ASIA LTD 134,467,593 หุ้น 6.66%
- นางเชอรี่ จรัญวาศน์ 101,040,650 หุ้น 5.00%
รายชื่อกรรมการ
- นายพงษ์ศักดิ์ อังสุพันธุ์ ประธานกรรมการบริษัท, กรรมการอิสระ
- นายดิเรก วินิชบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการ
- นายจิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ, กรรมการ
- นายชาย วินิชบุตร กรรมการ
- นายยาซูชิ ทาเคซาว่า กรรมการ