พาราสาวะถี

เป็นประเด็นร้อนต่อเนื่องในวงการสงฆ์ถ้าไม่นับรวมกรณีการมอนิเตอร์และจ้องจับสึกพระนักเทศน์ชื่อดังอย่าง พระมหาสมปอง ตาลปุตโต


เป็นประเด็นร้อนต่อเนื่องในวงการสงฆ์ถ้าไม่นับรวมกรณีการมอนิเตอร์และจ้องจับสึกพระนักเทศน์ชื่อดังอย่าง พระมหาสมปอง ตาลปุตโต ไม่ว่าจะเป็นกรณีการปลดพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะจังหวัด 3 จังหวัด ประกอบด้วย เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และล่าสุดกับคำสั่งมหาเถรสมาคมที่ 1/2564 เรื่อง กรณีพระภิกษุสามเณรเรียนวิชา หรือ สอบแข่งขัน หรือ สอบคัดเลือกอย่างคฤหัสถ์ พ.ศ. 2564

ในเนื้อหาของคำสั่งก็คือ ห้ามพระภิกษุสามเณรสอบแข่งขัน หรือสอบคัดเลือก เพื่อเข้ารับราชการ หรือทำงานในหน่วยงานของรัฐ เว้นแต่เป็นกรณีพระภิกษุสามเณรเข้ารับการคัดเลือกเป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย สำนักงานแม่กองบาลีสนามหลวง สำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง สำนักงานการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา หรือ ศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์ และตำแหน่งอื่นที่กำหนดไว้สำหรับพระภิกษุสามเณรเป็นการเฉพาะ ตามพ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2562

นอกจากนั้นยังห้ามแข่งขัน สอบคัดเลือก เพื่อรับทุนการศึกษาจากหน่วยงานรัฐ เว้นแต่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่ได้กำหนดไว้เป็นทุนสำหรับพระภิกษุ สามเณรเป็นการเฉพาะ หรือจัดสรรเพื่อเกื้อหนุนพระพุทธศาสนา และห้ามเรียนวิชาอย่างคฤหัสถ์ เว้นแต่ วิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีทางการศึกษา เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา หรือ เข้าศึกษาในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย

สิ่งที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์ตลอดจนการลุกฮือของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดที่เจ้าคณะจังหวัดถูกปลด จนทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับยุทธจักรดงขมิ้น กรณีเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้นหากทุกอย่างได้ผ่านการพิจารณาด้วยสติ ปัญญา และความเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไปของโลก โดยที่มีบทความของ สุรพศ ทวีศักดิ์ ในหัวข้อ “ฐานคิดแบบศาสนากับเสรีนิยมโลกวิสัย” น่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและช่วยเตือนสติคนในวงการได้เป็นอย่างดี

หลักประกันการมีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคนในฐานะปัจเจกบุคคลผู้มีอิสรภาพปกครองตนเองได้ ทั้งในทางศีลธรรม การใช้ชีวิตส่วนตัว และชีวิตทางสังคมและการเมือง จำเป็นต้องยกเลิก “รัฐศาสนา” หรือการใช้ระบบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการในนามศาสนาและเผด็จการแบบใด ๆ แทนที่ด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตยที่ถือว่ารัฐต้องเป็นกลางทางคุณค่าเกี่ยวกับความดี ศีลธรรม การมีชีวิตที่ดีตามความเชื่อแบบศาสนาและแบบไม่ใช่ศาสนาอันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละคน

การเป็นกลาง ก็คือการที่รัฐให้หลักประกันเสรีภาพและความเสมอภาคที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคนจะเลือกความเชื่อของตนเองได้ โดยปราศจากการบังคับและกีดกันเหมือนที่ทำกันโดยรัฐศาสนาในอดีตและปัจจุบัน นักคิดโลกวิสัยฝ่ายที่แชร์แนวคิดเสรีนิยมและระบอบเสรีประชาธิปไตย จึงเสนอให้ “แยกศาสนากับรัฐ” เพื่อที่รัฐจะสามารถเป็นกลางทางศาสนาและให้หลักประกันเสรีภาพ ความเสมอภาคทางศาสนาและความเชื่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาได้จริง

โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างวัฒนธรรมความเคารพและอดกลั้นต่อความแตกต่างหลากหลายทางความเชื่อแบบศาสนาและแบบไม่ใช่ศาสนาให้อยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นธรรมและสันติ ถ้าสังคมไทยแยกศาสนากับรัฐตามแนวคิดโลกวิสัยที่แชร์ความคิดเสรีนิยมและเสรีประชาธิปไตย ฝ่ายที่เสียประโยชน์ย่อมไม่ใช่ประชาชนส่วนใหญ่ แต่คือกลุ่มผู้นำองค์กรศาสนาของรัฐ นักบวช ศาสนจักร และศักดินาที่มีสถานะและอำนาจซึ่งถูกสถาปนาขึ้นบนความเชื่อทางศาสนา หรือมีอำนาจใช้องค์กรหรือสถาบันศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง

กลุ่มคนหยิบมือเดียวนี้เท่านั้นที่เสียประโยชน์ หรืออภิสิทธิ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาเคยมีมานาน ประชาชนส่วนใหญ่ของทุกศาสนา และคนไม่มีศาสนามีแต่จะได้ประโยชน์ เพราะจะมีอิสรภาพจากการครอบงำกดขี่มายาวนานของคนเพียงหยิบมือเดียวพวกนั้น ดังนั้นมุมมองเรื่องความเชื่อ คุณค่า ศีลธรรม การเมืองและอื่น ๆ จึงไม่ได้มีแต่มุมมองแบบทาสของพระเจ้า ที่ตัดสินว่าการอยู่ใต้กฎเกณฑ์ใด ๆ คือการตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์นั้น ๆ

เพราะมีแต่การตกอยู่ใต้กฎของอำนาจเผด็จการในนามพระเจ้า ธรรมะ และเผด็จการแบบอื่น ๆ เท่านั้นคือการตกเป็นทาส แต่กฎเกณฑ์แบบเสรีประชาธิปไตยโลกวิสัย คือกฎเกณฑ์ที่ปลดปล่อยประชาชนจากการตกเป็นทาสของเผด็จการในนามศาสนา เพราะเป็นกฎเกณฑ์ที่มาจากอำนาจอธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่อำนาจเบื้องบนใด ๆ ประทานมาเพื่อเป็นยากล่อมประสาท และควบคุมข้ารับใช้ผู้ภักดี

สิ่งที่จะทำให้ศาสนามัวหมองหาใช่เรื่องของการที่จะต้องห้ามเรียนรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ภายใต้โลกที่พลวัตอย่างรวดเร็ว หาใช่การจ้องจับผิดพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแต่พูดไม่ถูกใจฝ่ายครองอำนาจหรือไปจี้ใจดำในสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดประโชน์แก่ประชาชนหรือมีอำนาจแล้วแต่แก้ไขปัญหาให้กับประชาชนไม่ได้ หากแต่เป็นกลุ่มคนที่ใช้ศาสนามาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองและทำลายฝ่ายที่เห็นต่างต่างหากคือตัวการบ่อนทำลายศาสนาให้เสื่อมเสีย

แม้กระทั่งนักการเมืองบางคนยังนำศาสนามาใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง แต่สุดท้ายตัวเองก็กลายเป็นพวกที่ผิดศีลเสียเองถ้าพูดในแง่ของการโกหก เพราะเกิดการยุบพรรคที่ตั้งมากับมือและประชาชนเลือกมาแล้ว จนได้เป็นส.ส.ปัดเศษ ด้วยการกระโจนเข้าไปสวามิภักดิ์กับพรรคใหญ่แห่งขบวนการสืบทอดอำนาจ ซึ่งอีกไม่กี่อึดใจก็จะมีคำวินิจฉัยต่อกรณีดังกล่าวว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตรงนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับปมของศาสนาโดยตรง แต่ทั้งหมดก็ชี้ให้เห็นว่า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมาด้วยความเชื่อ และถูกชี้ถูกผิดเพราะอำนาจที่มีโดยไม่ได้ยึดความถูกต้องเป็นหลัก สิ่งนั้นมีแต่รอวันหายนะเท่านั้น

Back to top button