คิดจะขายตอนนี้ ก็สายเกินไป แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
แล้วล่าสุด แม้จะยังไม่ถึงที่สุด คำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ก็มีคำสั่งให้บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ยกเลิกการเพิ่มทุนตามติเดิม 200 ล้านหุ้น ตามมติเดิมวันที่ 28 เมษายน 2557 หรือเมื่อ 17 เดือนมาแล้ว
แล้วล่าสุด แม้จะยังไม่ถึงที่สุด คำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ก็มีคำสั่งให้บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ยกเลิกการเพิ่มทุนตามติเดิม 200 ล้านหุ้น ตามมติเดิมวันที่ 28 เมษายน 2557 หรือเมื่อ 17 เดือนมาแล้ว
คำสั่งศาลดังกล่าวถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของกลุ่มผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งนำโดยนายสุวัฒน์ พฤกษ์เสถียร ทนายความและตัวแทนผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่ฟ้องร้องต่อศาลหลังจากความอื้อฉาวในการเพิ่มทุน
ครั้งนั้นประธานบริษัทได้ผลักดันอย่างพิสดาร ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2557 โดยอาศัยวาระจรโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ที่จู่ๆ ก็มีคนยกมือขอให้เพิ่มทุนแล้วประธานก็รีบสั่งให้ลงมติอย่างรวบรัด. โดยอ้างว่ามีคนเห็นด้วย โดยเพิ่มทุนจัดสรรให้กับผู้ลงทุนเฉพาะกลุ่ม (Private Placement : PP) ในราคาหุ้นละ 12 บาท
มติดังกล่าวตัดสิทธิ์ผู้ถือหุ้นคนอื่นที่กลุ่มประธานมองว่าเป็นคนตรงกันข้ามไม่ให้ใช้สิทธิ์ลงมติซึ่งมีปัญหาตามมา
การสอดไส้ในการประชุมวาระจร แล้วเสนอรวบรัดให้มีการเพิ่มทุนบริษัทเพื่อเอาไปขายให้กับผู้ถือหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงซึ่งเป็นพันธมิตร เพื่อเป้าหมายสำคัญหวังสกัดคู่แข่งที่หวังเข้ามายึดกิจการจากมือกลุ่มผู้ก่อตั้ง นำโดยนายกิตติ ธนากิจอำนวย นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ทำกิจการส่วนตัวดีกว่ากิจการบริษัทมหาชนมานานหลายปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องปกติ
ที่ว่าผิดปกติ มีถึง 4 ข้อคือ
– มีการตรวจเอกสารผู้ถือหุ้นอย่างเข้มงวดก่อนการประชุม ราวกับเป็นการประชุมองค์กรลับอะไรสักอย่าง กีดกันผู้ถือหุ้นบางคนห้ามลงคะแนน
– ถึงวาระจร จู่ๆ ก็มีผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง (ชื่อนายนาวี ศรีผดุง) สอบถามซ้ำๆ เรื่อง หนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ว่าทำไมสูงจังเสมือนตั้งใจจะชงเรื่อง ประธานรับลูกต่อทันทีให้ที่ประชุมทำการยกมือขอมติเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงทันที จำนวน 200 ล้านหุ้น
– เมื่อผู้ถือหุ้นบางคนคัดค้าน ประธานก็รวบรัด สั่งให้นับคะแนน ทั้งที่ผู้ถือหุ้นบางคนถามแบบยังไม่เข้าใจเลยว่า PP คืออะไร แต่นายกิตติไม่ฟัง แถมสั่งเจ้าหน้าที่บริษัทให้เก็บไมค์ด้วยเพราะกลัวว่าจะมีการบันทึกส่ง ก.ล.ต. แล้วประธานก็สั่งปิดประชุม
– การประชุมผู้ถือหุ้นเสร็จเวลา 13.00 น. ต่อมาในเวลา 16.00 น. บริษัทได้ยื่นเรื่องให้นายทะเบียนกระทรวงพาณิชย์พิจารณารับมติการเพิ่มทุนทันที แสดงว่า บริษัทมีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว
การสอดไส้เพิ่มทุนดังกล่าวเคยทำให้ ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องออกโรงมาตักเตือนกัน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไว้ แม้ว่าอาจจะย่อหย่อนทางธรรมาภิบาล
กิตติ ธนากิจอำนวย ผู้ก่อตั้งและบริหารบริษัทดังกล่าวจนเติบใหญ่มายาวนานแม้จะไม่เป็นบริษัทหัวแถวในธุรกิจ มีผลงานที่สร้างชื่อหลายโครงการ และก่อนหน้าการเพิ่มทุนพิสดารนั้น ข้อมูลของบริษัทก็ยืนยันว่า NOBLE ไม่ใช่บริษัทที่มีปัญหาเลวร้ายจนต้องให้ใครมาเทกโอเวอร์เล่นๆ เหตุเพราะมีกำไรสุทธิต่อเนื่องโดยตลอด
เพียงแต่ในช่วงแรกที่เป็นข่าวเกิดมีข้อมูลที่ทำให้งงงวยไปทั่วคือเหตุใดสัดส่วนถือครองหุ้นของนายกิตติและพวกจึงลดลงไปจนเหลือต่ำกว่า 10% ซึ่งผิดวิสัยของการทำธุรกิจ และการกระทำดังกล่าวนี้แหละคือรากฐานของปัญหาที่เกิดขึ้นมาถึงวันนี้
แล้วก็มีเรื่องโผล่ตามมาอีกว่า นับแต่กลางปี 2556 เป็นต้นมา มีข่าวกิตติเที่ยวตระเวนเสนอขายกิจการของNOBLE ให้กับคนที่สนใจหลายคน จนข่าวรั่วออกไป เพราะการเสนอให้คนมากกว่า 2 ราย ย่อมยากจะปิดเป็นความลับ
นอกจากนั้นยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า มีบริษัทลึกลับ ต่อมารู้กันว่า เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีศูนย์กลางการเงินอยู่ที่บริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ ในทะเลจีนใต้ ซึ่งคนทั่วไปชอบไปจดทะเบียนเป็นบริษัทกระดาษนั่นแหละ ได้แอบเข้ามาเก็บสะสมหุ้นของ NOBLE อย่างเงียบๆ จนมีหุ้นในมือเกือบถึงขีดจำกัด 24%
ปฏิบัติการ “ลักหลับ” ของไอ้โม่งดังกล่าว จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เลย หากว่ากิตติไม่ชะล่าใจปล่อยให้หุ้นในมือตนเองและกลุ่มลดลงน้อยเกินคาด
ตัวเลขถือครองหุ้นของไอ้โม่ง ทำให้กิตติและพวกตาเหลือก เพราะหากไอ้โม่งดังกล่าว ต้องการใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ตัวจริงขอมีอำนาจบริหารขึ้นมา อำนาจการบริหารก็คงจะหลุดลอยไปจากกลุ่มกิตติและพวก สู่อุ้งมือของกลุ่มไอ้โม่ง ซึ่งมีชื่อว่า เอททิเมด เน็ตเวิร์คส์ กรุ๊ป สตรีท ลิมิเต็ด (Esteemed Networks Group Street Ltd) ที่มี เอบีเอ็น แอมโร นอมินี สิงคโปร์ เป็นบริษัทนอมินี ถือหุ้นแทน
เหตุผลที่ไอ้โม่งที่ถือหุ้นแค่นั้น ก็อยู่ที่ว่า ต้องการเลี่ยงกฎว่าด้วยเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ เมื่อถือหุ้นเกิน 25% ขึ้นไป ทำให้ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวให้คนรู้จักว่าเป็นใคร
แรกสุด มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ววงการอสังหาริมทรัพย์มาหลายเดือนแล้วว่า ไอ้โม่งลึกลับจากเวอร์จิน ไอส์แลนด์นั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นกลุ่มณรงค์เดช ทายาทของนายเกษมและคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช นั่นเอง
ข่าวลือดังกล่าวก็ไม่มีใครยืนยัน แต่ต่อมากลุ่มณรงค์เดชก็ออกมาให้ข้อมูลเชิงลึกว่า เคยสนใจจะซื้อหุ้น NOBLE จริง และมีการเจรจาจริงระยะหนึ่ง แต่ตกลงกันไม่ได้ เพราะกิตติไม่สามารถให้การรับรองได้ว่าจะหาหุ้นมาให้กลุ่มผู้ซื้อได้เกิน 75% ตามที่ผู้ซื้อต้องการได้
ที่สำคัญ กลุ่มณรงค์เดชไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทไอ้โม่งแต่อย่างใด
แล้วก็เพราะความหวาดระแวงว่า จะถูกไอ้โม่งที่จะเข้ามายึดบริษัทนี่เอง ทำให้กลุ่มกรรมการนำโดยนายกิตติ ต้องงัดเอามาตรการ “ลักหลับ” กลับมาใช้ด้วยการสมคบคิดเพิ่มทุนแบบผู้ถือหุ้นไม่ทันตั้งตัว โดยหวังจะไปเอาพันธมิตรของกลุ่มตนเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ให้มากกว่าไอ้โม่ง
ผลการประชุมสามัญวันนั้นที่ทีแรก จะมีการซูเอี๋ยในธุรกรรมซื้อขายกิจการทางประตูหลังแบบสมยอมชนิด “ชักศึกเข้าบ้าน” แต่พอถึงเวลาผ่านมา เรื่องก็เปลี่ยนมุมไปเมื่อกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อยกลุ่มหนึ่งนำโดยทนายสุวัฒน์ออกมาเคลื่อนไหวในฐานะมือเก๋าเกม
เสือเก่าไม่เคยทิ้งลาย ทนายสุวัฒน์ที่ผ่านดีลแย่งชิงธนาคารแหลมทองจำกัด(มหาชน) เมื่อเกือบ30 ปีก่อนในฐานะทนายฝั่งสุระ จันทร์ศรีชวาลา ที่ท้ายสุดเอาชนะตระกูลนันทาภิวัฒน์สำเร็จการันตีคุณภาพว่าคับแก้วแค่ไหน
นานเกือบ 1 ปีที่ยื่นฟ้องต่อศาล ผลลัพธ์ก็ชัดเจน แต่อย่าคิดว่าจะจบ เพราะกลุ่มนายกิตติอาจจะดึงเรื่องยาวต่อ โดยแสดงความไม่ เห็นด้วยกับคำสั่งศาล แล้วยื่นเพิกถอนคัดค้านคำสั่งศาลดังกล่าวได้ โดยศาลจะนัดสืบพยานใหม่ เพื่อจะพิจารณาคำสั่งอีกครั้ง ซึ่งจะไม่มีกำหนดระยะเวลาในการยื่นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
เรียกว่าจะหาทางขายกิจการเข้าทางตนชนิดได้ทั้งเงินและยึดอำนาจบริหารกิจการต่อ..ว่างั้น
เพียงแต่สถานการณ์การเงินของ NOBLE ยามนี้ ทำให้ใครสนใจจะซื้อตามราคาในมติเพราะล่าสุดงบการเงินย่ำแย่กว่าปีก่อนมาก สิ้นสุดงบกลางปีมีรายได้แค่ 171.75 ล้านบาท และขาดทุนมากถึง 258.42 ล้านบาท แม้จะอ้างว่าไม่มีบุ๊คโอนคอนโดฯใหม่สร้างเสร็จ เหตุรอใบอนุญาต EIA ส่งผลก่อสร้างล่าช้า–โอนกรรมสิทธิ์ไม่ทัน ก็สะท้อนอะไรได้มากกว่าคำกล่าวอ้าง
ฐานะการเงินอย่างนี้ ที่คิดจะขายแพงๆ เหมือนเดิม น่าจะสายเกินไปยามนี้
เว้นแต่คนซื้อจะมีคุณสมบัติครบ คือ รวยมากและโง่มาก