หุ้นพลังงานอานิสงส์น้ำมันดิบพุ่ง

ราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องนักวิเคราะห์ประเมิน เชื่อว่ายังเป็นบวกกับผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ของโรงกลั่น


เส้นทางนักลงทุน

สืบเนื่องจากความร้อนแรงของราคาพลังงานต่าง ๆ ทั้งน้ำมัน, ก๊าซ LNG และถ่านหิน ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยราคา LNG พุ่งขึ้นประมาณ 500% ตามมาด้วยถ่านหินในออสเตรเลีย 300% และน้ำมันดีเซลที่สิงคโปร์ 122% เทียบกับปีที่ผ่านมา

สำหรับจุดปะทุที่ทำให้ราคาพลังงานเพิ่มขึ้น น่าจะมาจากปริมาณความต้องการใช้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังโควิด-19 คลายตัว รวมทั้งมีข้อจำกัดทางปริมาณการผลิต และปัญหาต่อเนื่องจากวิกฤตพลังงานในจีน

โดยผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ทั้งเบนซิน (Gasoline) ดีเซล (Gasoil) ดีเซลซัลเฟอร์ต่ำ และน้ำมันเครื่องบิน (Jet Fuel oil) ปรับตัวขึ้นหมด ในจำนวนนี้น้ำมันดีเซล (Gasoil) ปรับตัวขึ้นมากที่สุด จากแรงหนุนของการฟื้นตัวของความต้องการใช้ในอุตสาหกรรม ผลิตไฟฟ้า ด้วยการหันมาใช้น้ำมันดีเซลแทนก๊าซ และขนส่ง นั่นเอง

สอดคล้องกับสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางภาวะตึงตัวของปริมาณพลังงานทั่วโลก ซึ่งหนุนราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี ขณะที่บรรดาผู้ใช้พลังงานรายใหญ่เผชิญความยากลำบากในการรับมือกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น

อย่างเมื่อวานนี้ เบื้องต้นสัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นทะลุระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ BRENT พุ่งขึ้นทะลุระดับ 83 ดอลลาร์/บาร์เรล

ด้าน คาร์สเทน ฟริตช์ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานของคอมเมิร์ซแบงก์ รีเสิร์ช เปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตลาดน้ำมันจะยังคงตึงตัวไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน และกลุ่มโอเปกพลัสยังคงดำเนินนโยบายการผลิตที่จำกัด

นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของราคาก๊าซในยุโรปมีส่วนทำให้ความต้องการใช้น้ำมันพุ่งขึ้นด้วย เนื่องจากกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนจากการใช้ก๊าซมาเป็นการใช้น้ำมันมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า

อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจเมื่อราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเช่นนี้ สอดคล้องนักวิเคราะห์ ประเมินตลาดน้ำมันจะยังคงตึงตัวไปจนถึงสิ้นปี เชื่อว่ายังเป็นบวกกับผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2564 ของโรงกลั่น พร้อมกับระยะนี้ยังเป็นบวกสำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น

ทั้งนี้เบื้องต้นขอหยิบยกข้อมูลจากบทวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุในบทวิเคราะห์ว่าแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้นกลุ่มพลังงาน โรงกลั่น และปิโตรเคมี อย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)  หรือ PTTEP, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGCบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP,

บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP

โดยจากการประเมินในการเข้าเก็งกำไรหุ้นดังกล่าว เนื่องจากการที่ราคาน้ำมันดิบเมื่อวานที่ 10 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมาพุ่งขึ้น 1.05 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 1.3% ปิดที่ 79.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 2557 หรือในรอบเกือบ 7 ปี และพุ่งขึ้น 4.6% ในรอบสัปดาห์นี้ท่ามกลางภาวะตึงตัวของปริมาณพลังงานทั่วโลก ซึ่งหนุนราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี ขณะที่บรรดาผู้ใช้พลังงานรายใหญ่เผชิญความยากลำบากในการรับมือกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่ง

ดังนั้นจากหุ้นข้างต้น ทางนักวิเคราะห์คงให้ PTTEP เป็น top pick สำหรับกลุ่ม Oil & gas โดยมีราคา เป้าหมาย 145 บาท ขณะที่ SPRC เป็น top pick ในกลุ่มโรงกลั่น โดยมีราคาเป้าหมาย 11.50 บาท และ PTTGC เป็น top pick ในกลุ่มปิโตรเคมี โดย Bloomberg consensus ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 73.50 บาท

ขณะเดียวกันจากหุ้นเด่น PTTEP, SPRC และ PTTGC ที่เป็น top pick ในกลุ่มหากไปดูข้อมูลโบรกเกอร์อื่นก็ยังมีความน่าสนใจเช่นกัน อย่างตัวอย่างกรณีของหุ้นดังกล่าวอาทิ

สำหรับ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)  หรือ PTTEP  ทางด้าน บล.เคทีบีเอสที คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564 กำไรปกติเติบโตแข็งแกร่งจากงวดเดียวกันของปีก่อน ถ้าหากไม่รวมรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ประเมินว่า PTTEP จะมีกำไรปกติที่แข็งแกร่งที่ 1.10 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยคาดประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) ปริมาณการขายจะสูงขึ้นเป็น 415 kboed เพิ่มขึ้น 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการรับรู้โครงการ Sabah H และ Oman Block 61

นอกจากนี้  Average blended ASP จะสูงขึ้นเป็น 43.7 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 71.4 ดอลลาร์/บาร์เรล  เพิ่มขึ้น 66% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ช่วยชดเชยราคาก๊าซฯ ที่ต่ำที่  5.7 ดอลลาร์/mmbtu และต้นทุนต่อหน่อยจะอยู่ที่  29.2 ดอลลาร์/boe

ส่วนของราคาน้ำมันดิบที่สูงและปริมาณการขายน่าจะช่วยทำให้กำไรแข็งแกร่งต่อเนื่องในไตรมาส 4 ปี 2564 ราคาน้ำมันดิบดูไบได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยจากไตรมาสก่อนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 78.1 ดอลลาร์/บาร์เรล  เพิ่มขึ้น78% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน โดยจากอุปสงค์ที่สูงของพลังงานเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น สำหรับฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา และ OPEC+ ประกาศยึดนโยบายทยอยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 400 kbd ในเดือน พ.ย. 2564

นอกจากนี้คาดว่าปริมาณการขายของ PTTEP จะสูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนในไตรมาส 4 ปี 2564 จากการเริ่มโครงการ Algeria HBR phase I (มีกำลังการผลิตน้ำมัน 10-13 kbd) และการกลับมาดำเนินการของโรงแยกก๊าซหน่วย 3 และ 6 ของ PTT ซึ่งคาดว่า 2 ปัจจัยดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้กำไรของ PTTEP แข็งแกร่งต่อไปในไตรมาส 4 ปี 2564

ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 38.7 พันล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ 45.0 พันล้านบาท โดยคาดว่า กำไรจะฟื้นตัวจากปริมาณการขายที่เติบโตขึ้นต่อเนื่องจากการรับรู้โครงการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เป็น 413-481 ล้านบาท ในปี 2564-2565 (จากเดิม 354 kboed ในปี 2020)  2) ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ ในระดับสูงโดยเราคาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 67.1 ดอลลาร์/บาร์เรล  และ 66.0 ดอลลาร์/บาร์เรล ในอีก 2 ปีข้างหน้า เทียบกับ 42.3 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปี 2563 และต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) ที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากปริมาณการขายที่สูงขึ้น

ทั้งนี้เชื่อว่า PTTEP จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ยืนสูงในครึ่งหลังของปี 2564 และแนวโน้มปริมาณยอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ราคาเป้าหมายของ PTTEP ยังมี upside จากโครงการ Sarawak SK410B ที่ยังรอประกาศ FID ซึ่งวางแผนไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 อีกด้วยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 138.00 บาท

ขณะที่ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ทางด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ประเมินว่าบริษัทยังมี Sentiment บวกจากทั้งค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซล สะท้อนภาคการเดินทางและขนส่งคาดจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/2564 และราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นแรง   นอกจากนี้ด้าน Valuation ยังไม่แพง PBV 1.32 เท่า (ต่ำค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 1.4 เท่า) ขณะที่คาดกำไรจากการดำเนินงานจะเริ่มฟื้นตัวเด่นในไตรมาส 4/2564 ตามค่าการกลั่นที่ฟื้นตัว แนะ “เก็งกำไร” เป้าพื้นฐาน 11.4 บาท

ส่วนด้าน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC  ทางด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่ากำไรสุทธิของ PTTGC ในไตรมาส 3 ปี 2564 จะอยู่ที่ 7.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 672% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจะเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบดูไบขยับสูงขึ้นจาก 43 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็น 72 ดอลลาร์/บาร์เรล  ในไตรมาส 3 ปี 2564  ทำให้มาร์จิ้นของ polyethylenes (PE) กว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และ spread ของ PX, BZ, BPA, acrylonitrile (ACN) และ methyl methacrylate (MMA) ดีขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวกันกำไรที่ลดลงอย่างมากจากไตรมาสก่อน จะเป็นเพราะไม่มีการบันทึกกำไรพิเศษ 1.77 หมื่นล้านบาท  (หลังหักภาษี) จากการขายหุ้น 12.73% ใน Global Power Synergy Public (GPSC.BK/GPSC TB) และการลดชั้นการลงทุนที่เหลืออยู่ใหม่ ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษ

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบที่เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล, อุปสงค์ PE ที่สูงตามฤดูกาลในไตรมาส 4 ปี 2564 และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก  Allnex ในปีหน้าจะช่วยหนุนราคาหุ้น PTTGC ดังนั้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” คงราคาเป้าหมายปี 2565 อยู่ที่ 80.00 บาท

ท้ายสุดแล้วหากราคาน้ำมันดิบพุ่งต่อเนื่อง กลุ่มพลังงาน โรงกลั่น และปิโตรเคมี ยังคงได้รับอานิสงส์ทั้งพื้นฐานและราคาหุ้น!!!

Back to top button