ข้ามช็อตด้วยสายตาของ VI

สำหรับการคาดเดาผลประกอบการรายของหุ้นกลุ่มธนาคาร คือ ถ้ากำไรคาดว่าจะสวยจะมีการเร่งประกาศงบออกมาเร็วกว่าคาดเสมอ


มีข้อสังเกตง่าย ๆ สำหรับการคาดเดาผลประกอบการรายไตรมาสของหุ้นกลุ่มธนาคารหรือสถาบันการเงิน 2 เรื่อง คือ ถ้ากำไรคาดว่าจะสวยจะมีการเร่งประกาศงบออกมาเร็วกว่าคาดเสมอ เพราะช่วงเวลาประกาศงบนั้นเดี๋ยวนี้มีประสิทธิภาพสูงมาก ที่จะเร็วหรือช้าขึ้นกับความต้องการของผู้บริหารว่าจะให้ประกาศเมื่อใดเท่านั้น

ในทางกลับกันหากงบทำไม่สวยจะมีการยืดเวลาประกาศงบออกไปให้ตรงกันวันเส้นตายของธนาคารแห่งประเทศไทยคือวันที่ 20 ของเดือนถัดมาจากวันสิ้นไตรมาส ซึ่งคาดเดาไม่ยาก

สำหรับในตลาดหุ้นไทยหุ้นที่ประกาศงบเร็วที่สุดคือ TISCO ที่บางไตรมาสที่มีกำไรสวย ๆ จะเร่งประกาศแค่ 7 วันหลังปิดงบ แต่ไตรมาสล่าสุดนี้ TISCO กลับใช้เวลานานถึงสองสัปดาห์ แล้วผลลัพธ์ก็เป็นดังคาด แม้จะยังมีคนเชียร์ให้ซื้อโดยให้ราคาเกิน 100 บาทก็ตาม

ขนาดผลประกอบการของหุ้นที่มีมุมมองที่ดีอย่าง TISCO ยังย่ำแย่หุ้นธนาคารอื่น ๆ คงต้องลำบากที่จะต้องสร้างกำไรพิเศษมาชดเชยกำไรปกติที่จะหดหายไปเพราะพิษโควิดที่ต้องเข้าไปอุ้มชูลูกค้าที่มีปัญหาทำให้กำไรหดหาย เรียกว่าโชคดีที่ยังมีกำไรแม้จะลดลงเกินกว่า 50% ของปีก่อน และลดลง 6.3% จากไตรมาสก่อนหน้า หุ้นกลุ่มธนาคารจึงซบเซา ทางเลือกที่เหมาะสมช่วงนี้คือมองข้ามช็อตไปที่งบไตรมาสสี่ และงบปีที่น่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาสสามที่ผ่านมาดันถือว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ซีอีโอของกลุ่มทิสโก้ ยอมรับว่า การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 และมาตรการปิดเมือง (Lockdown) ที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ธุรกิจชะลอตัวลง แต่การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง จากความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้อย่างดี ในขณะที่สถานการณ์การระบาดเริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นในช่วงปลายเดือนกันยายน และการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ ทั้งนี้ ระดับเงินสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Loan Loss Coverage Ratio) ยังคงแข็งแกร่งที่ 196.5%  ทำให้บริษัทยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและมาตรการปิดเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการแก้หนี้ให้ตรงจุดและยั่งยืน เพิ่มเติมจากการช่วยเหลือเป็นการทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าเช่าซื้อและจำนำทะเบียนรถยนต์ โครงการพิเศษ “คืนรถจบหนี้” และ “ขายรถปิดหนี้” เพื่อช่วยเหลือลูกค้าในกลุ่มที่มีความจำเป็น

แม้จะเห็นสัญญาณบวกของสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศที่เริ่มดีขึ้นจากการเข้าถึงวัคซีนที่มากขึ้น และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัวในเดือนพ.ย.นี้ แต่บริษัทจะยังย้ำให้เห็นถึงความสำคัญกับนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบระมัดระวังและเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน นั่นหมายถึงความทุ่มเทในการให้บริการ ความพอดีในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ การให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างตรงกลุ่มและแก้ปัญหาได้แบบเบ็ดเสร็จ

นอกจากนั้น ยังมุ่งแสวงหาโอกาสการเติบโตใหม่ในกลุ่มเป้าหมายใหม่ เช่น การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ดี (TISCO Advisory) การสนับสนุนเงินให้สินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) เพื่อตอบสนองแนวคิด Green Economy ของทางภาครัฐ

ทิศทางใหม่นี้ ไม่ง่ายดาย และต้องการเวลานานพอสมควรเพื่อผลิดอกออกผล ดังนั้น จึงคาดว่าปีนี้อัตราการเติบโตของรายได้และกำไรหุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งเคยสูงสุดในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนมายาวนาน น่าจะต่ำมาก ๆ  และนั่นหมายถึงการจ่ายเงินปันผลที่จะลดลงไปตามสัดส่วนและความจำเป็น

สถานการณ์ที่ต้องมองข้ามช็อตนับจากนี้ไปจึงไม่ค่อยสดใสมากนัก น่าจะกดดันดัชนีและราคาหุ้นไปจนถึงสิ้นปี แล้วเริ่มต้น เทค แอคชั่น” กันใหม่ต้นปีหน้าไป

โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอื่น ๆ เช่นพลังงานที่แม้จะไม่ถึงกับเลวร้ายแต่ขาขึ้นก็ยังยากลำบากต่อไป

ยกเว้นหุ้นบางตัวที่น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น จากการกินส่วนแบ่งจากคู่แข่ง เพราะกลยุทธ์ซื้อกิจการเพื่อโตทางลัดในราคาต่ำที่เป็นกระแสหลักของเศรษฐกิจในยามผันผวน

หนึ่งในต้นแบบที่น่าจะถือเป็นตัวอย่างของยุคสมัยคือหุ้นบรรจุภัณฑ์อย่าง SCGP ที่กลายเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์รายใหญ่สุดของอาเซียนไปแล้ว จากกลยุทธ์การควบรวมกิจการที่เริ่มให้ผลทันทีในสามเดือนที่ผ่านมา

แม้จะคาดหมายว่า ผลประกอบการที่เคยโดดเด่นครึ่งปีแรกจะทรงตัวในช่วงไตรมาสที่สามที่ส่งผลต่อราคาหุ้นให้แน่นิ่งที่ระดับ 60.00-61.00 บาท แต่การเทคโอเวอร์ที่ชาญฉลาดในอินโดนีเซียและเวียดนามน่าจะทำให้ไตรมาสที่สี่เป็นไตรมาสที่เริ่มเห็นผลลัพธ์ของกลยุทธ์การเติบโตทางลัดได้ชัดเจน

แม้จะถูกนักวิเคราะห์บางสำนัก ลดประมาณการกำไรลงไปค่อนข้างมากจากระดับ 78.00 บาท เหลือ 70.25 บาท เนื่องจากคาดหมายว่ากำไรสุทธิไตรมาสสามของ SCGP จะอยู่ที่1.58 พันล้านบาท จากการที่รายได้ลดลงเหลือ 2.73 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะในเวียดนาม แม้โดยภาพรวมทั้งปีจะมีรายได้โตขึ้นกว่า 18% จากการขยายธุรกิจแบบก้าวกระโดดจากการซื้อกิจการในประเทศเวียดนามตั้งแต่ต้นปีและกลางปี

การมองข้ามช็อตเช่นนี้ ทำให้เกิดความหวังในเชิงบวกได้มากกว่าปกติเพราะราคาที่ต่ำในยามนี้ ทำให้ราคาหุ้นในพอร์ต แม้จะขาดทุนทางบัญชี แต่มีอนาคตสดใสแน่นอน

การทำตัวเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าเลือกซื้อหุ้นที่กำไรสูง และมีอนาคตยาวไกลในยามนี้ จึงเป็นทั้งความจำเป็น และโอกาส

Back to top button