พาราสาวะถี

ในเมื่อทั่วโลกใช้กฎหมายแรงงานเดียวกัน แต่ทำไมการเยียวยาประชาชนของประเทศไทยจึงแตกต่างกับประเทศอื่น ฟังแล้วชวนหดหู่


เพราะมีหัวเป็นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสามารถในเชิงบริหารและวิสัยทัศน์ มันจึงทำให้หางต้องส่ายตามแบบไม่ลืมตาดูโลกภายนอก หรือมองเห็นความเป็นจริงของสภาพปัญหาประเทศและความเดือดร้อนของประชาชน คำตอบของ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีแรงงานที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมแรงงานถามหน้าทำเนียบรัฐบาลก่อนประชุมครม.ที่ผ่านมาว่า ในเมื่อทั่วโลกใช้กฎหมายแรงงานเดียวกัน แต่ทำไมการเยียวยาประชาชนของประเทศไทยจึงแตกต่างกับประเทศอื่น ฟังแล้วชวนหดหู่

แทนที่จะอธิบายด้วยหลักการและเหตุผลที่รองรับได้ แต่วิสัชนาของเจ้ากระทรวงจับกังกลับบอกว่า “มีประเทศไหนเยียวยาได้ดีกว่าประเทศไทย ช่วยบอกที” ก่อนที่จะสะบัดตูดเดินหนีม็อบไปในทันที หากบอกว่าเป้าหมายของรัฐบาลสืบทอดอำนาจต่อการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนคือการแจกเงินเยียวยาสารพัดวิธีเพียงอย่างเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นก็วังเวง และมองไม่เห็นหนทางที่จะไปสู่จุดซึ่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจป่าวประกาศมาโดยตลอด นั่นก็คือ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

ความเป็นจริงก็คือปัญหาเศรษฐกิจที่ถือเป็นวิกฤตใหญ่ที่รอให้รัฐบาลแก้ไขนั้น ยังไม่ได้รับการขจัดปัดเป่า เมื่อผนวกเข้ากับวิกฤตโควิด-19 การที่รัฐบาลหลับหูหลับตาแจกในนามการเยียวยาเหมือนอย่างที่รัฐมนตรีจับกังว่า รู้หรือไม่สถานการณ์ที่เป็นไปมันมาซึ่งปัญหาสังคม หลายครอบครัวประสบปัญหาหนี้สิน คนที่มีงานทำก็ตกงานแบบไม่รู้ตัว ต้องดิ้นรนหาอาชีพใหม่แต่เป็นไปด้วยความยากลำบาก มาตรการของรัฐที่เข้ามาช่วยเหลือ มันได้แค่พอประทังแต่ไม่เพียงพอในการที่จะเดินต่อไปอย่างมั่นคง

ถ้าการเยียวยาคือความภาคภูมิใจของรัฐมนตรีที่ร่วมคณะกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก็ต้องยอมรับกันว่าปฏิบัติการไอโอที่ขบวนการสืบทอดอำนาจนำมาใช้นั้นได้ผล เนื่องจากคนกันเองยังไม่ลืมหูลืมตาที่จะช่วยกันหาหนทางในการสร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น เอาแต่กดหัวสั่งให้ประชาชนรอรับเงินแจกจากมาตรการของรัฐเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ทำอยู่ด้วยการอ้างว่าเป็นรูปแบบประชารัฐนั้น แท้ที่จริงแล้วนั้นยิ่งกว่าประชานิยมที่พวกอำมาตยาธิปไตยใช้โจมตี ทักษิณ ชินวัตร และคณะเสียอีก

หากไม่มีความเข้าใจในภาพเศรษฐกิจของชาติในภาพรวมหรือเข้าใจแล้วแต่หมดปัญญาที่จะแก้ไข ย้อนไปฟังบทสัมภาษณ์ของ สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อไม่กี่วันก่อน สรุปแบบสั้น ๆ ได้ใจความก็คือ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยให้ดูสิ่งที่ธนาคารโลกเตือนคือ เป็นหนี้มากเศรษฐกิจจะฟื้นยาก ผู้นำต้องฉลาดจึงจะฟื้นเศรษฐกิจได้ ถามว่าเวลานี้สถานการณ์ของประเทศเป็นไปตามนี้หรือไม่

คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งเวลานี้มีเรื่องของราคาน้ำมันที่เข้ามาเป็นตัวแปรที่สำคัญอีกประการ ต้องจับตาดูกันว่าทีมเศรษฐกิจที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่งเป็นหัวหน้าทีมเองนั้น จะแสดงความสามารถอะไรในการแก้ไขหรือไม่ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับกันว่ามีความโชคดีของรัฐบาลเผด็จการและคณะสืบทอดอำนาจที่ราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลง แต่เวลานี้ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ภายใต้การฟื้นฟูเศรษฐกิจที่อ้างกันนักหนาว่าจะทำโน่นนี่นั่น เจอปัจจัยกดดันเพิ่มเช่นนี้จะแก้ไขกันอย่างไร

การที่มี สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ มาเป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีพลังงานที่ถือว่าเป็นสายตรงจากธุรกิจพลังงาน หากไม่สามารถที่จะหาช่องทางในการแก้ไขตรงจุดนี้ไปได้ โดยอ้างแค่เรื่องกลไกในตลาดโลก ก็คงต้องถึงเวลาที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะต้องเขย่ารัฐมนตรีครั้งใหญ่กันอีกกระทอก หามืออาชีพและเป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริงมาช่วยบริหาร ก่อนที่จะก้าวไปสู่โหมดเลือกตั้งหากยังหวังที่จะกลับมาอยู่ในตำแหน่งต่อไป แต่ถ้าคิดจะวางมืออยู่แล้วก็ให้เลยตามเลยไปก็แล้วกัน

ขณะนี้ที่ใจจดจ่อและมีแรงกดดันไปในตัวหนีไม่พ้นทีมงานเตรียมมาตรการเพื่อรองรับการเปิดประเทศเฟสแรกในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เอาแค่การกำหนดจำนวนประเทศที่จะเปิดให้เดินทางเข้ามาได้ก็ยังมีปัญหากันอยู่ เพราะแม้จะมีการฉีดวัคซีนกันครบโดสเป็นส่วนใหญ่ แต่สถานการณ์การระบาดของประเทศต้นทางเหล่านั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นหรือแทบไม่ต่างจากประเทศไทย ดังนั้นเมื่อประกาศไปแล้วก็ไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่า จะไม่ใช่เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการนำเชื้อใหม่เข้ามา

แต่เมื่อมองไปยังการประกาศ 5 เป้าหมาย 4 มาตรการที่ได้วางกันไว้ แสดงว่าฝ่ายเตรียมการนั้นมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง จึงไม่น่าห่วงเรื่องของนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศ ทว่าในมุมของหมออาชีพยังกังวลเรื่องของวัคซีนที่ฉีดให้คนในประเทศ อัตราการฉีดที่ใกล้เคียงหรือเกินเป้าหมายที่วางไว้นั้นมีเพียงกรุงเทพฯ และภูเก็ตเท่านั้น แต่จังหวัดอื่น ๆ ยังไม่เป็นไปตามเป้า ถ้ายังเป็นเช่นนี้การเปิดประเทศระยะแรก ก็มีความเสี่ยงที่ว่าการระบาดในประเทศอาจจะกลับมาเพิ่มมากขึ้นอีก

หากถามหมอการเมืองก็สามารถอธิบายว่า ยังอยู่ในอัตราที่ระบบสาธารณสุขรองรับได้ เป็นตัวเลขที่คาดการณ์กันไว้อยู่แล้ว แต่คนต้องอยู่กับโควิด-19 ให้ได้โดยที่เศรษฐกิจจะต้องขับเคลื่อนต่อไปได้เช่นกัน เมื่อยึดแนวทางกันเช่นนี้ นอกเหนือจากการระมัดระวังตัวเองอย่างเข้มงวดหรือมาตรการครอบจักรวาลตามที่คิดค้นวาทกรรมกันขึ้นมา ก็คงต้องช่วยกันสวดมนต์ภาวนากันทั้งประเทศว่า อย่าได้มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นเหมือนกับที่เคยเกิดมาก่อนหน้านี้

ด้านความเคลื่อนไหวทางการเมืองภาษากายผ่านความเคลื่อนไหวลงพื้นที่ของพี่ใหญ่กับสองน้องรักแห่งแก๊ง 3 ป. บ่งบอกได้ถึงสายสัมพันธ์ที่ว่าไม่เหนียวแน่นเหมือนเดิม ขณะที่กลุ่มที่เจ็บแค้นจากการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหลังการซักฟอกที่ผ่านมา รอวันที่จะเอาคืน นับวันเวลาที่จะให้สภาเปิดสมัยประชุม เพราะนั่นเท่ากับว่าจะได้แสดงให้ฝ่ายกุมอำนาจได้เห็นถึงพลังของฝ่ายนิติบัญญัติว่า ไม่ได้มีไว้แค่เป็นไม้กันหมาหรือทาสรับใช้รัฐบาลเท่านั้น

งานนี้แว่วมาว่า มีการวางตัวบุคคลไว้เพื่อการตรวจสอบรัฐบาลโดยเฉพาะ และจัดคนที่มีความช่ำชองในข้อกฎหมายไปพิจารณาเนื้อหาสาระของกฎหมายต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภา รวมไปถึงมีการต่อสายจับมือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในการที่จะร่วมมือกันล้มกฎหมายที่สำคัญบางฉบับ เท่ากับว่าจะทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปต่อไม่ได้ อีกนัยหนึ่งหากจะให้ผ่านจากที่เคยขอกันได้ก็ต้องใช้ต้นทุนแทบทุกเรื่อง เกมชิงไหวชิงพริบจากการขบเหลี่ยมกันนั้นน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

Back to top button