ฝรั่ง-กองทุน เก็บ KBANK BBL

เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิใน SET อีก 4,580 ล้านบาทหากรวมตลาด MAI ด้วย ยอดซื้อสุทธิจะเพิ่มมาเป็น 4,833 ล้านบาท


เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิใน SET อีก 4,580 ล้านบาท

หากรวมตลาด MAI ด้วย ยอดซื้อสุทธิจะเพิ่มมาเป็น 4,833 ล้านบาท หลังจากวันก่อนหน้านี้ (หลอก) ขายออกมากว่า 1,591 ล้านบาท

อย่างที่เขียนไว้ในฉบับเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ต่างชาติยังซื้อต่อเนื่องในตลาดหุ้นไทย

แต่อาจจะมีการสลับขายทำกำไรออกมาบ้างเป็นบางวัน

ย้ำกันอีกครั้งว่า มุมมองของนักลงทุนต่างชาติตอนนี้ เขามองข้ามไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ไปแล้ว

คือ มองไปยังปี 2565 โน่นเลย

แม้ว่าในช่วงสั้นค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง

แต่นั่นมันเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ

ทว่า ในช่วงปลายปี ค่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ เริ่มที่จะถอน QE

ประกอบกับเศรษฐกิจประเทศไทยช่วงไตรมาส 4 และปี 2565 จะกลับมาฟื้นตัว

ดังนั้น ยังไงค่าเงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่าขึ้นแน่นอน

ประเด็นที่เป็นคำถามคือ แล้วทำไมนักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนยังขายต่อเนื่อง

อย่างที่บอกไว้เช่นกันว่า กองทุนต้องการเงินราว ๆ 3.0-3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อที่จะเข้าเก็บหุ้นในช่วงปลายปีนี้

หุ้นที่ขายออกมาต่อเนื่องเป็นการขายทำกำไร

แต่ปัญหาของกองทุนอาจจะอยู่ที่ เมื่อขายหุ้นออกมาแล้ว ราคาอาจไม่ได้ลงตามที่ต้องการ

ในทางกลับกัน ต่างชาติกลับเข้ามาทยอยเก็บ

ทำให้หุ้นแทนที่จะลง แต่ดันม้วนกลับเป็นขาขึ้น

กองทุนมองว่า ไตรมาส 3/64 กำไร บจ.ไม่ดีแน่นอน และไตรมาส 4 ปีนี้ ยังฟื้นตัวอย่างจำกัด

ต้องมาดูกันว่า ระหว่างมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ กับ กองทุน

ใครกันจะเข้าวิน

อาจจะมีคำถามตามมาอีกว่า แล้วหุ้นตัวไหนที่ต่างชาติซื้อ และกองทุนขาย

เรื่องนี้ทาง หนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้นำเสนอมาต่อเนื่อง

มีทั้งที่ต่างชาติซื้อผ่าน NVDR และซื้อโดยตรง

ส่วนฉบับวันนี้เป็นหุ้นที่กองทุนขายออกมา มีอยู่ทั้งหมด 10 ตัว (10 อันดับแรก) ที่อยู่ในกลุ่ม SET100

เท่าที่ดูแบบคร่าว ๆ

หุ้นที่กองทุนขาย กับต่างชาติที่เข้ามาเก็บ ไม่ค่อยจะตรงกันซักเท่าไหร่ แม้ว่าหุ้นที่ซื้อ และขายที่ว่านี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ใน SET50 รวมถึงกลุ่ม SET100

แต่ที่ตรงกันคือการ “ซื้อ” หุ้นในกลุ่มธนาคารที่ทั้งกองทุน และต่างชาติแย่งกันเก็บอยู่ โดยเฉพาะแบงก์กสิกรไทย KBANK

นับจากวันที่ 20 ส.ค. 64 มาถึง 20 ต.ค. 64 หรือ 2 เดือนพอดี

หุ้นกสิกรไทยขึ้นมาจากระดับ 108.50 บาท มาอยู่ที่ 142.50 บาท หรือพุ่ง 31-32% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

หุ้นขนาดใหญ่หรือบิ๊กแคป มีมาร์เก็ตแคปกว่า 3.34 แสนล้านบาท วิ่งขึ้นมาแรงแบบนี้พร้อมมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันหลายพันล้านบาท

มีแต่นักลงทุนสถาบัน และต่างชาติเท่านั้นที่ดันหุ้นแบบนี้ได้

กราฟราคาหุ้นในช่วง 2 เดือน จะพบว่า มีบางช่วงเกิดการพักตัวบ้าง แต่ไม่ได้เป็นการพักแบบลงวูบวาบ

หลังจากนั้น ราคาวิ่งขึ้นต่อทันที

วิ่งขึ้นมาเรื่อย แบบไม่เหน็ดเหนื่อย

เช่นเดียวกับหุ้นแบงก์กรุงเทพ BBL ที่ราคาเริ่มกระโดดนับจากช่วงวันที่ 19-20 ต.ค. 64 เช่นกัน

วันที่ 19 ส.ค. 64 ราคาหุ้น BBL ปิด 102.50 บาท

ล่าสุดวานนี้ปิด 120.50 บาท เท่ากับว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา BBL วิ่งขึ้นมา 17-18%

ล่าสุดเข้าไปส่องราคาเป้าหมายโดยเฉพาะของทั้ง KBANK และ BBL

ราคาทั้ง 2 หุ้นจะมีอัพไซด์เหลืออยู่

แต่ไม่รู้ว่า จะถูกไล่ซื้อไปจนถึงเท่าไหร่ และช่วงไหนจะถูกขายทำกำไรออกมา

Back to top button