พาราสาวะถี

ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมีแค่อำนาจของฝ่ายบริหารที่มีขอบเขตจำกัด และคะแนนนิยมก็อยู่ในภาวะขาลง ยิ่งจะได้เห็นฤทธิ์เดชของนักการเมืองมากขึ้น


คงเข้าใจลึกซึ้งแล้วว่าการเมืองภายใต้การเลือกตั้งกับการเมืองที่ชี้นิ้วสั่งในนามหัวหน้าคสช.นั้นมันแตกต่างกันขนาดไหน บอกได้เลยว่าเหมือนหน้ามือกับหลังเท้าเลยทีเดียว ยิ่งเวลาผ่านไปนานวันมากเท่าไหร่ ลายของนักเลือกตั้งก็จะแสดงออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่เคยมีดาบอาญาสิทธิ์ทั้งม.44 และกฎหมายของคสช.สั่งจัดการคนที่เป็นปฏิปักษ์ มีแค่อำนาจของฝ่ายบริหารที่มีขอบเขตจำกัด และคะแนนนิยมก็อยู่ในภาวะขาลง ยิ่งจะได้เห็นฤทธิ์เดชของนักการเมืองมากขึ้น

เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า ผลพวงจากการถูกแทงข้างหลังเมื่อคราวศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจงวดที่ผ่านมา จนนำไปสู่การปลดสองรัฐมนตรีพ้นเก้าอี้ กลายเป็นของแสลงทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเข็ดขยาด ไม่ไว้วางใจใครอีกต่อไป แม้แต่พี่ใหญ่หัวหน้าแก๊ง 3 ป.ของตัวเอง อย่างที่บอกเปิดสมัยประชุมสภาที่จะมีขึ้นในเดือนหน้านี้ มีกฎหมายสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องอาศัยเสียงของส.ส.ในอาณัติ และหากยังปล่อยให้หอกข้างแคร่อย่าง ธรรมนัส พรหมเผ่า นั่งอยู่ในเก้าอี้แม่บ้านพรรคแกนนำรัฐบาลต่อไปมันหมายถึงความง่อนแง่น

เพราะไม่มีโอกาสรู้ได้ว่าจะถูกหักหลังเหมือนอย่างที่เจ้าตัวเคยประกาศก่อนจะมีการลงมติในศึกซักฟอก หากเกิดปัญหาส.ส.โหวตคว่ำร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลฉบับใดฉบับหนึ่ง ก็จะเป็นไปตามที่ วิษณุ เครืองาม ย้ำมาตลอด มีทางเลือกแค่สองทางคือไม่ยุบสภาก็ต้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ด้วยเหตุนี้การเรียก 6 รัฐมนตรีคุยที่ทำเนียบรัฐบาลหลังประชุมครม. และไปถกกันต่อที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ในค่ำวันเดียวกัน โดยมีพี่ใหญ่และพี่รองร่วมวงด้วย มันจึงเต็มไปด้วยท่วงทำนองที่เร้าใจเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ใช่แค่เรื่องการตรวจสอบ ติดตาม สอบถามความเป็นไปและเตรียมความพร้อมของพรรคสืบทอดอำนาจในการพิจารณาข้อกฎหมายที่จะเข้าสู่สภาเพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเท่านั้น หากแต่เป้าหมายหลักคือการปรับโครงสร้างพรรคเพื่อเขี่ยธรรมนัสให้พ้นไปจากเก้าอี้เลขาธิการพรรค ไม่ใช่แค่การขวางหูขวางตาผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ถ้าธรรมนัสอยู่มันหมายถึงโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองในสภาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตาม การเดินเกมรุกที่จะเฉดหัวธรรมนัสให้ไม่มีตำแหน่งไร้อำนาจในพรรคนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความที่เป็นคนประเภทใจถึงพึ่งได้ จึงมีแนวร่วมที่พร้อมจะชักธงรบอยู่ไม่น้อย รวมไปถึงหากกรรมการบริหารพรรคที่มีการขีดเส้นกันมาให้ลาออกในจำนวนที่เกินกึ่งหนึ่งของกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดไม่ทำตามสิ่งที่ได้วางแผนกันไว้ การจะหวังให้แม่บ้านพรรคลาออกเองคงเป็นไปได้ยาก จึงเหลือวิธีเดียวคือ หัวหน้าพรรคลาออกซึ่งจะส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคทุกคนสิ้นสภาพไปทันที

กรณีหลังนี้มีความเป็นไปได้สูง โดยที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจได้มีการนัดหมายประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารพรรคในวันนี้ (28 ตุลาคม) คงจะมีบทสรุปว่าจะขยับกันอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ จากที่เคยไม่ยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับนักเลือกตั้ง โดยอ้างว่าเป็นการแยกงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ แต่เวลานี้กลับพบว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้รุกคืบไปอีกขั้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะไม่มีเรื่องอะไรมาสั่นคลอนเสถียรภาพของตัวเอง

ด้วยการสั่งให้จัดเตรียมห้องบนตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้วิปรัฐบาลมาประชุมร่วมกัน จากเดิมที่ประชุมกันที่รัฐสภา โดยจะประเดิมประชุมกันนัดแรกในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ หนึ่งวันก่อนที่กฎหมายเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศจะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมรัฐสภา นี่ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ไว้วางใจกลไกของพรรคที่สนับสนุนตัวเองมาโดยตลอดอีกต่อไป ซึ่งก็ได้ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยการส่ง อนุชา บูรพชัยศรี อดีตโฆษกรัฐบาลไปร่วมวงในวิปรัฐบาล

แน่นอนโดยหลักการเพื่อไม่ให้เสียหน้าก็จะอ้างว่า การที่จัดให้วิปรัฐบาลมาประชุมกันที่ทำเนียบรัฐบาล จะช่วยทำให้ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติคือส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลมีโอกาสพบปะกันมากขึ้น เกิดความใกล้ชิดและความเข้าใจกัน รวมถึงจะทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด ขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะได้เข้าใจปัญหามากขึ้นเช่นกัน ทั้งที่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่งมากว่า 7 ปีนั้น อ้างมาตลอดว่าฝ่ายบริหารไม่ก้าวล่วงและชี้นำฝ่ายนิติบัญญัติ

อีกด้านนักการเมืองในซีกรัฐบาลต่างก็พากันดี๊ด๊า เพราะเท่ากับว่าความหวั่นไหวหวาดกลัวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น ได้นำมาซึ่งการยอมก้าวลงจากหอคอยงาช้าง ลงมาคลุกคลีตีโมงกับบรรดาส.ส.อันหมายถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับนักเลือกตั้งทั้งในแง่ส่วนตัวและการได้อานิสงส์ไปถึงพื้นที่ซึ่งแต่ละคนต้องรับผิดชอบด้วย เพียงแต่ว่ามีสิ่งที่ส.ส.จำนวนไม่น้อยยังเป็นกังวลก็คือ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเพียงท่าทีแต่เรื่องของความใจถึงจะต้องตามมาด้วย

บนข้อกังวลดังว่านั้นมีการตั้งคำถามกลับไปผ่านตัวแทนของวิปพรรคแกนนำรัฐบาลว่า การหารือของวิปที่จะต้องไปอยู่หน้าห้องทำงานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น หัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจและพี่ใหญ่ของแก๊ง 3 ป.จะเข้ามามีบทบาทหรือมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ หรือถ้าไม่มีก็ต้องมีคนประเภทธรรมนัสมาเป็นมือประสาน เพราะต้องใจกว้าง รับปากแล้วต้องเป็นไปตามนั้น เมื่อพิจารณาจากรัฐมนตรีที่ท่านผู้นำเรียกคุยแล้วก็พอจะเห็นแล้วว่าใครจะเป็นกองกลางตัวจ่ายในหมากเกมนี้

หนีไม่พ้น “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ถูกมองว่าเป็นเหมือนวอลเปเปอร์ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปแล้ว เพียงแต่ว่ายังมีข้อจำกัดเรื่องสายสัมพันธ์กับบรรดาส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรค แต่หากได้รับการหนุนหลัง ประกาศให้ชัดเจนว่าท่านผู้นำถือหางร้อยเปอร์เซ็นต์ พร้อมโชว์คลังกระสุนแบบไม่อั้นให้บรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายได้อุ่นใจ ตรงนี้ก็ไม่น่ายากในการสานสัมพันธ์ และทำให้ตัดขาดจากคนแจกกล้วยรายเดิม

ขณะที่เกมการกระชับสัมพันธ์ของแก๊ง 3 ป.และขจัดหนามตำใจภายในพรรคสืบทอดอำนาจ กำลังดำเนินไปสู่จุดไคลแม็กซ์ ภายในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ คนที่เป็นหัวหน้าพรรคก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีเพียงหัวโขนแต่บารมีนั้นไปอยู่ที่ ชวน หลีกภัย เห็นได้จากการแก้ปัญหาความไม่พอใจของ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ล่าสุด และยังมีปัญหาให้ตามแก้กันอีกหลายพื้นที่ ไม่นับรวมการถูกเพื่อนร่วมรัฐบาลดูดคนไปเข้าคอกอีก ที่คุยว่ากระแสดีวันดีคืน เกรงว่าจะเป็นการหลอกตัวเองเสียมากกว่า

Back to top button