ตลาดหุ้นภายใต้กลยุทธ์ถอนตัวของเฟด

ธนาคารกลางสหรัฐ มีมติว่าจะเริ่มกลยุทธ์ที่เรียกว่า Exit Strategy ผลสะเทือนต่อตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์หลัก และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน


ทันทีที่เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ หรือธนาคารกลางสหรัฐ มีมติวันพุธที่ผ่านมา ว่าจะเริ่มกลยุทธ์ที่เรียกว่า Exit Strategy ผลสะเทือนต่อตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์หลัก และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ก็เกิดขึ้นทันทีอย่างที่เรียกกันว่าเป็นปฏิกิริยาเข่ากระตุก (knee-jerk reactions)

ราคาน้ำมันดิบที่ทำท่าจะขยับตัวเหนือ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลทรุดร่วงลงมาแรงสุดในรอบ 10 วันหลุด 80 ดอลลาร์ ด้วยคำอธิบายว่ามีสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ พุ่งกดดันตลาด ในขณะที่กลุ่มชาติส่งออกน้ำมันดิบทั่วโลกที่พยายามสร้างคาร์เทลที่เรียกว่าโอเปก พลัส ก็ต้องนั่งลงถกกันว่า จะยังคงมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนธ.ค.ที่ช้ากว่าการเพิ่มของความต้องการใช้น้ำมัน หลังจากที่ชาติผู้นำเข้ารายใหญ่อย่าง แม้สหรัฐฯ และอินเดีย ต่างกดดันให้โอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน

ขณะเดียวกันราคาปุ๋ยเคมีที่พุ่งแรงมากกว่า 40% ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาน่าจะชะลอการพุ่งขึ้นจากที่เคยคาดเดาว่าราคาจะพุ่งขึ้นไปจนถึงกลางปีหน้า เพราะราคาจำหน่อยสินค้าเกษตรไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย

สำหรับตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะในเอเชีย พากันพร้อมใจ เขียวยกแผง” วานนี้ หลังจากเฟดประกาศว่าจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตั้งแต่เดือนพ.ย. ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยที่ดาวโจนส์อุตสาหกรรม ทำนิวออลไทม์ไฮไปอีกครั้ง

ตามแถลงการณ์ทางการเฟด ประกาศว่าจะปรับลดวงเงินในโครงการ QE เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย. โดยเฟดจะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ และปรับลดวงเงินซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) เดือนละ 5,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการทยอยลดวงเงิน QE ดังกล่าวจะทำให้เฟดยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงในกลางปี 2565 หรือปีหน้า

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด แถลงว่า เฟดสามารถอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับกล่าวว่าเฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนนี้ แม้มีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น เพราะการปรับลดวงเงิน QE ในการประชุมครั้งนี้ ไม่ได้แปลว่ากำลังส่งสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายอัตราดอกเบี้ย โดยย้ำว่าเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยคือการที่ตลาดแรงงานขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพ ทั้งในแง่ของตัวเลขจ้างงานและอัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน

ข้ออ้างของเฟดนั้นยังถูกตีความว่าการขึ้นดอกเบี้ยเป็นไปได้สูงเพราะอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ลดลงจากปัจจุบันที่ 4.8% จะเหลือแค่ 4.7% อันถือเป็นอัตราการจ้างงานที่ตึงตัว (เพราะมาตรฐานการจ้างงานในสหรัฐฯ ถือเอาการว่างงานที่ถือว่าจ้างงานเต็มที่คือ 5.5%)

แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ โดยออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 571,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. จากระดับ 523,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 395,000 ตำแหน่งและตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศคืนวันนี้น่าจะในวันศุกร์นี้ และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนต.ค.จะลดลงสู่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย.

รายละเอียดที่เกิดจากผลประชุมเฟด ออกมาตามคาดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย แม้แนวโน้มยังต้องขึ้นดอกเบี้ยอยู่จากเงินเฟ้อสูง ส่งผลให้กลับมาซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้งหลังขายไปก่อนหน้านี้ ถือเป็นเป็นโมเมนตัมขาขึ้นของตลาดหุ้นและตลาดเงินของสหรัฐฯ แม้ว่าแรงกดดันจะยังมีให้เห็นชัดจากการต้องจับตาการแพร่ระบาดโควิด-19

ท่าทีของตลาดเก็งกำไรต่อกลยุทธ์ถอนตัวออกของเฟด มีความหมายลึกซึ้งเพราะการแทรกแซงของรัฐบาลกลางด้วยการทุ่มเงินทั้งมาตรการทางการคลังและการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มในมาตรการ QE นั้น เริ่มมีขีดจำกัดในตัวเองมากขึ้น

เป็นที่ทราบกันดีว่า มาตรการ QE เป็นมาตรการหลักที่เข้ามาเสริมมาตรการทางด้านการคลังที่มีข้อจำกัด ในการต่อสู้กับวิกฤตการเงินและสนับสนุนเศรษฐกิจช่วงขาลง

มาตรการ QE มีจุดหมายมุ่งการตอบสนองต่อวิกฤตและภาวะถดถอยในช่วงเวลาแห่งความตื่นตระหนกและความผิดปกติอย่างรุนแรง ในระหว่างนั้นเงินทุนระยะสั้นของเอกชนกลายเป็นเรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้กู้จำนวนมาก โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ

1) บริการเพิ่มสภาพคล่องในทางเลือกสุดท้าย ผ่านโปรแกรมจำนวนหนึ่งเพื่อให้ระบบการเงินมีความปลอดภัยสูง ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อระยะสั้นแก่ระบบการเงิน  โครงการเหล่านี้ซึ่งไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายใด ๆ ให้กับผู้เสียภาษี ทำให้ระบบการเงินมีเสถียรภาพและเริ่มกระแสของเครดิตครั้งใหม่

2) การลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจนเกือบเป็นศูนย์ ผ่านการซื้อหลักทรัพย์ธนารักษ์และตัวแทนในวงกว้าง  การซื้อสินทรัพย์เหล่านี้ ซึ่งมีผลเพิ่มเติมจากการเพิ่มทุนสำรองอย่างมากที่สถาบันการเงินรับฝากเงินถือไว้กับธนาคารกลางสหรัฐ ได้ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยและส่วนต่างในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยและตลาดสินเชื่อที่สำคัญอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ทั้งสองมาตรการที่มีรายละเอียดมากมายถูกเริ่มใช้มายาวนานกว่า 10 ปี และเลิกใช้ไปก่อนจะกลับมาใช้ใหม่หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อ 2 ปีก่อน

นอกเหนือจากการที่ส่งผลต่อการเงินและการจ้างงานในสหรัฐฯ มาตรการ QE ของเฟดยังมีผลต่อตลาดเงินและตลาดทุนของโลกจากทั้งที่เฟดได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนสกุลเงินชั่วคราวกับธนาคารกลางต่างประเทศรายใหญ่ ซึ่งเฟดได้ให้เงินดอลลาร์แก่ธนาคารกลางต่างประเทศเพื่อแลกกับปริมาณสกุลเงินต่างประเทศที่มีมูลค่าเท่ากัน  และสวอปกลับในมูลค่าเท่ากัน ช่วยลดความเครียดในตลาดเงินทุนดอลลาร์ทั่วโลก ซึ่งช่วยให้ตลาดสหรัฐฯ มีเสถียรภาพ  ที่สำคัญ สัญญาแลกเปลี่ยนมีโครงสร้างเพื่อให้เฟดไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือความเสี่ยงด้านเครดิต

ในขณะที่กระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้ตลาดเก็งกำไรค่าเงินคึกคักผ่านการทำแครี่เทรดด้วย

ผลพวงคือ อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกถูกกดต่ำติดพื้นกลายสภาพเป็น “กับดักสภาพคล่อง” ทั่วโลกโดยปริยาย

ภาวะกับดักสภาพคล่อง ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำยาวนาน และเกิดภาวการณ์ออมมากกว่าการบริโภคยาวนานเช่นกัน

การส่งสัญญาณว่าเฟดกำลังจะถอนตัวจากมาตรการ QE จึงเป็นการกลับทิศ 180 องศาที่มีความหมาย ทั้งข่าวดีและร้าย พร้อมในคราวเดียว

แม้โดยภาพรวม จะทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวสู่สภาพปกติ แต่เนื่องจากมีรายละเอียดของผลกระทบที่ไม่สมมาตรกันในแต่ละธุรกิจ จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันและคนที่ได้เปรียบคือคนที่ทำการบ้านมารอบคอบ

นี่คือการปรับตัวใหม่ที่มีความหมายยิ่งอีกครั้ง

Back to top button