ภาษีเพื่อการฟื้นฟู

การนับจำนวนฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มให้ได้ร้อยละ 70 เพื่อให้เกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ใช้จำนวน 46,330,708 คน ไม่ต้องถึง 50 ล้านคน ดังที่ชอบพูดกันหรอก


สถิติทะเบียนราษฎร์อย่างเป็นทางการ ณ 31 ธ.ค. 63 คือ 66,186,727 ล้านคน ฉะนั้น การนับจำนวนฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มให้ได้ร้อยละ 70 เพื่อให้เกิด ภูมิคุ้มกันหมู่” ก็ต้องใช้จำนวน 46,330,708 คน ไม่ต้องถึง 50 ล้านคน ดังที่ชอบพูดกันหรอก

การเปิดประเทศ 1 พ.ย.เป็นต้นมา เป็นการเปิดประเทศที่อัตราการฉีดวัคซีนยังไม่ครบร้อยละ 70 ดี และแม้ในปัจจุบันก็ยังห่างไกลตัวเลขร้อยละ 70 อยู่ดี

อัตราการฉีดวัคซีนล่าสุด ณ 3 พ.ย.ยอดฉีดสะสมเข็มที่ 1 ยังอยู่แค่ 43,237,343 คน คิดเป็นร้อยละ 65.32 เท่านั้น และการฉีดครบ 2 เข็มยิ่งน้อยกว่า มีอัตราฉีดสะสมแค่ 32,438,823 คน คิดเป็นร้อยละ 49.01 ของประชากรเอง

ยังต้องเร่งฉีดอีก 13,891,885 คน ให้เร็วที่สุด ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยทั้งต่อคนในชาติและต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามา

ประเทศเพิ่งจะเริ่มก้าวเดิน หลังบอบช้ำหนักจากโควิดแพร่ระบาดมาเกือบ 2 ปี แต่ต้องมาเผชิญกับปัญหาราคาน้ำมันแพง ย่อมไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศการฟื้นฟูประเทศเอาเสียเลย

ข้อเรียกร้องให้ลดราคาดีเซลลงมาเหลือลิตรละ 25 บาทของสหพันธ์ขนส่งทางบก จึงเป็นข้อเสนอที่น่ารับฟัง ไม่ใช่จะยืนกรานนโยบายตรึงราคาไว้ที่ 30 บาทอย่างเดียวเท่านั้น

ในโครงสร้างราคาน้ำมัน ราคาเนื้อน้ำมันหน้าโรงกลั่นเป็นเพียง 70% โดยประมาณเท่านั้น ที่เหลืออีก 30% เป็นการจัดเก็บภาษีและกองทุนต่าง ๆ ซึ่งรายการจัดเก็บใหญ่ที่สุดก็คือ ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน

ควรหรือไม่จะต้องลดทอนการจัดเก็บลงมาบ้าง เพื่อการฟื้นฟูประเทศ

น้ำมันดีเซลบี7 ราคาจำหน่ายปลีก 29.69 บาททุกวันนี้ เป็นภาษีสรรพสามิตอยู่ถึง 5.99 บาท สามารถจะหั่นการจัดเก็บลงมาได้ถึง 3-4 บาท รัฐก็ยังมีส่วนจัดเก็บเหลืออยู่นี่นา

ถือเป็นมาตรการลดภาษีลงชั่วคราวสัก 1 ปี เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการฟื้นฟูประเทศ และก็ควรจะลดการจัดเก็บภาษีให้แก่น้ำมันเบนซินด้วยเช่นกัน

การลดภาษีน้ำมันลง เป็นการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทั่วถึงและเป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่านโยบายลดแหลกแจกดะที่ใช้กันเกร่อทุกวันนี้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ก็สมควรมีการทบทวนนโยบายส่งเสริมพืชพลังงานจำพวกไบโอดีเซลและเอทานอลให้มีความเหมาะสมพอดีด้วย เพราะน้ำมันปาล์ม B100 ที่นำมาผสมไบโอดีเซล มีราคาแพงกว่าน้ำมันดีเซลเป็นอันมาก

น้ำมันปาล์ม B100 มีราคาลิตรละ 47 บาท เอามาผสมน้ำมันดีเซลสำเร็จรูปที่ราคาต่ำกว่ามาก ยิ่งผสมในอัตราส่วนที่สูงมากขึ้น เช่น B7 B10 และ B20 ก็ยิ่งทำให้น้ำมันมีราคาแพงขึ้น รัฐก็ต้องนำเงินกองทุนน้ำมันไปอุดหนุนสูงขึ้นด้วย

ราคาเอทานอลที่นำมาผสมเบนซินเป็นแก๊สโซฮอล์ ก็เช่นเดียวกัน ยิ่งผสมสูตรเป็นเอทานอลสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันไปชดเชยมากขึ้นเท่านั้น

การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เป็นเงินที่รัฐบาลจัดเก็บเอาไปจากประชาชน เมื่อบ้านเมืองยังอยู่ในภาวะที่ยากลำบากก็สมควรจะลดราวาศอกในการจัดเก็บลงมาบ้าง

ลงมาสัก 3-4 บาทก็ยังดี ใช่ว่าจะขอยกเว้นซะเมื่อไหร่ เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังภัยพิบัติโควิด

Back to top button