ขึ้นยาก?
สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยกำลังตกอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” เพราะกำลังถูกบีบคั้นจากปัจจัยภายนอกอย่างหนัก
*คำเดียวสั้น ๆ ที่สื่อให้รู้ว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยกำลังตกอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” เพราะกำลังถูกบีบคั้นจากปัจจัยภายนอกอย่างหนัก จนนักลงทุนไม่กล้าขยับตัวทำอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ และทำให้มูลค่าการซื้อขายที่เคยหนาแน่นในระดับแสนล้าน เริ่มถอยลงมาอยู่ในระดับแปดหมื่นล้าน ก่อนจะกลิ้งไปกลิ้งมาในระดับหกหมื่นล้านบวกลบ มันเป็นภาพที่ตอกย้ำว่า หุ้นไทยขึ้นยากพะยะค่ะ
*ในเมื่อผู้เล่นยังกังวลใจ และหุ้นบลูชิพเริ่มอืด ดัชนีจึงมีอาการซึมกระทือเป็นส่วนใหญ่ และถ้านับระยะเวลา 2 เดือนครึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยคึกคักได้แค่เดี๋ยวเดียว ต่อจากนั้นก็มีอาการเกร็ง ๆ ตลอดเวลา “โมนิก้า” จึงอยากให้แฟนคลับประเมินเรื่องราวที่เล่าให้ฟังอีกครั้ง และดูการแกว่งตัวของดัชนีตลอดวานนี้ ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 1,632.44 จุด บวกไป 1.97 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.35 หมื่นล้านบาท มันเป็นจริงเหมือนที่เม้าท์ไหมล่ะคะ
*เรื่องราวตรงนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ของหุ้น IVL ซึ่งทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง และราคาหุ้นในกระดานก็ตอบรับด้วยการวิ่งล่วงหน้าเป็นเวลาสองเดือน (จาก 36 บาทขึ้นไป 46 บาท) ขณะที่ช่วงครึ่งเดือนหลังออกอาการเป๋เป็นส่วนใหญ่ จนวานนี้เห็นหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ 41.50 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 2.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.07 พันล้านบาท ทั้งที่สถานการณ์ของธุรกิจดูดีขึ้นแบบนี้..น้องโมมึนตึ๊บเจ้าค่ะ
*งงในงง..คงต้องมองไปที่หุ้นเฮง HENG เป็นรายถัดมาในทันที เพราะกลายเป็นหุ้นที่โดนขายหนักสามวันติด จนวานนี้ลงมาทำโลว์ระหว่างวันที่ระดับ 3.08 บาท ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาปิดที่ระดับ 3.34 บาท ลบไป 0.02 บาท หรือลงไป 0.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 369 ล้านบาท มันเป็นสถานการณ์ที่ลำบากสำหรับคนที่ไหวตัวช้า เพราะเห็นกันทนโท่ว่า หุ้นลิสซิ่งเริ่มไม่ปังเหมือนที่คิดไว้ โอกาสที่จะไปต่อสวย ๆ คงไม่ง่ายกระมัง!
*รายที่อาการหนักจริง ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นขนส่งสีส้ม KEX แบบไม่ลังเลใจ เพราะกำไรที่ลดฮวบเกินกว่า 90% กลายเป็นปมที่ทำให้นักเล่นผวากันเป็นแถว ยิ่งเห็นบริษัทแบกต้นทุนจนหลังอาน ยิ่งสร้างความกังวลมากขึ้นเป็นกอง จึงไม่เชื่อว่า หุ้นจะคัมแบ็คได้ในเร็ววัน บวกกับก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ก็เพิ่งแสดงอภินิหารแบบไม่เข้าท่า ส่งผลให้การยืนปิดที่ระดับ 38 บาท บวกไป 1.25 บาท หรือขึ้นไป 3.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 865 ล้านบาท อันตรายเกินไปที่จะเข้าเล่นน่ะซี
*คล้ายกับกรณีของหุ้น NCAP ที่ตกอยู่ในอาการซึมกระทือนานร่วมเดือน และวันก่อนก็พุ่งพรวดพราดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่วานนี้กลับเกิดอาการง่อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น “โมนิก้า” เดาได้ทันทีว่า โกรทในอนาคตมีปัญหาอย่างแน่นอน และพวกขาใหญ่ซุ้มต่าง ๆ ก็คงเปิดตูดแนบไปหมดแล้ว วานนี้จึงเห็นหุ้นยืนปิดที่ระดับ 9.45 บาท ลบไป 0.45 บาท หรือลงไป 4.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 120 ล้านบาทแบบหงอยเหงาไงล่ะจ๊ะ
*ส่วนรายที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวัง และมีคนเริ่มชิ่งหนีมากขึ้น “โมนิก้า” คงเบนเข็มไปมองที่หุ้น AMANAH เพื่อชี้ให้เห็นกรอบเล่นหุ้นตั้งแต่เดือน พ.ค.-พ.ย. ก็อยู่ในระดับ 4.70-5.90 บาทเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่วานนี้หุ้นยืนปิดที่ระดับ 4.68 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 4.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 71 ล้านบาท ก็เป็นผลมาจากกำไรหด และส่อแววจะหดลงอีกในอนาคต เพราะเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้..ไม่มีทางที่จะโตหรอกค่ะ
*ส่วนคนที่กล้าวัดกับความเสี่ยงเต็มตัว “โมนิก้า” ขอแนะนำให้มองไปที่หุ้น BROOK แบบไม่ต้องลังเลอะไรทั้งนั้น เพราะกำไรที่เห็นโตระเบิดระเบ้อ ส่วนใหญ่มากจากเกมการเงินในรูปแบบต่าง ๆ แต่ตัวที่ปั๊มกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำอยู่ที่การบันทึก “กำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินอื่น” เป็นจำนวนสูงถึง 288 ล้านบาท (กำไรสุทธิงวดเก้าเดือน 263 ล้านบาท) แบบนี้..คุณ ๆ คิดว่า การยืนปิดที่ 0.86 บาท ลบไป 0.04 บาท หรือลงไป 4.44% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 292 ล้านบาท น่าเล่นจริงเหรอจ๊ะ
*ในเมื่อทนเสียงรบเร้าบรรดาขาเผือกที่อยากรู้เรื่องของ MORE ไม่ไหวจริง ๆ “โมนิก้า” เลยต้องพูดกลาง ๆ ว่า วันนี้กำไรต้องออกมาเจ๋งจริง ๆ เพราะเมื่อดูจาก BV ที่อยู่ในระดับ 0.05 บาท และการเทรดวันนี้ไม่มีค่า PE ให้แฟนคลับประเมิน จึงต้องเกาะติดงบไตรมาส 3 จะโตต่อเนื่องเหมือนสองไตรมาสที่ผ่านมาขนาดไหน? ต่อจากนั้นขาเผือกจะรู้ด้วยตัวเองว่า การยืนปิดที่ระดับ 1.90 บาท ลบไป 0.01 บาท หรือลงไป 0.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 192 ล้านบาท น่าเล่นต่อไหม?..อิอิอิ