ความกลัวในสิ่งไม่รู้
การลงทุนที่ว่าเมื่อมีสิ่งไม่รู้จักใหม่ที่นี่คือตัวแปรทางลบ แรงขายเพราะความกลัวที่เหนือกว่าความโลภ ตลาดก็พร้อมจะตัดขาดทุน
แรงขายที่ออกมาหนักในตลาดเก็งกำไรทุกตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงเช้าวานนี้แม้จะมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาบ้างสะท้อนข้อเท็จจริงเชิงพฤติกรรมของการลงทุนที่ว่าเมื่อมีสิ่งไม่รู้จักใหม่ที่นี่คือตัวแปรทางลบ แรงขายเพราะความกลัวที่เหนือกว่าความโลภ ตลาดก็พร้อมจะตัดขาดทุน
คำถามที่ตามมาคือปฏิกิริยาเข่ากระตุกดังกล่าวเกินจริงหรือมีการ “ทุบเอาของถูก” ยังยากจะหาคำยืนยันได้
เชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า B.1.1.529 หรือโอไมครอนซึ่งมีการกลายพันธุ์จำนวนมากในโปรตีนขัดขวาง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการที่ไวรัสเข้าสู่เซลล์ในร่างกายและเป็นเป้าหมายของวัคซีนถือว่าน่ากลัวไม่น้อยเพราะหากตัวแปรถูกระงับและหากการฉีดวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ สิ่งนั้นอาจเปลี่ยนการคำนวณสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าจะไม่ใช่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อในปัจจุบัน ก็นำมาซึ่งความท้าทายต่อการคาดเดาทางลบว่า
ในขณะที่การติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น การล็อกดาวน์อย่างเต็มรูปแบบอาจยังคงต้องเสีย 0.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศรายไตรมาสต่อสัปดาห์ ตามการคำนวณของนักเศรษฐศาสตร์ของ Citi ซึ่งสังเกตว่ามาตรการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะลดค่าเงินลง และอาจก่อให้เกิดการกู้ยืมจากรัฐบาลและการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มขึ้น
โดยที่โควิดสายพันธุ์ใหม่จากแอฟริกาใต้ที่ดูเหมือนจะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน เพิ่มความปวดหัวให้กับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นซึ่งบีบให้ออสเตรียและสโลวาเกียบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งเป็นโรคระบาดที่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้เคยเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยในฐานะ New normal
แม้ว่าบรรดานายธนาคารกลางยุโรปแสดงความมั่นใจอย่างเงียบ ๆ ว่าท่ามกลางการควบคุมการเดินทางทั่วโลก ในขณะเดียวกัน ข้อมูลที่มีความถี่สูงชี้ว่ารอยฟกช้ำต่อการเติบโตจากมาตรการดังกล่าวมีลักษณะที่เจ็บปวดน้อยลงทุกครั้งที่มีการล็อกดาวน์ติดต่อกัน ทำให้เกิดความหวังว่ารอบล่าสุดนี้ จะไม่รุนแรงเท่าเดิม
อย่างน้อยสุดประสบการณ์ที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี ก็บ่งชี้ว่าผลกระทบต่อปัญหาคอขวดของอุปทานและต้นทุนด้านพลังงานที่มีความรุนแรงมากขึ้น แต่ความยืดหยุ่นของฝรั่งเศส และเยอรมนี ยืนยันว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจของการล็อกดาวน์แต่ละครั้งรุนแรงน้อยกว่าครั้งก่อน
ล่าสุด ข้อมูลของฝรั่งเศสสนับสนุนประเด็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของยูโรโซนร่วงลงมากถึง 29 เปอร์เซ็นต์ในช่วงการปิดเมืองในเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมปีที่แล้ว ทว่าการล็อกดาวน์ที่ตามมาในเดือนตุลาคม 2020 ทำให้เกิดกิจกรรมเว้าแหว่งเพียง 4% ในขณะที่กิจกรรมที่เริ่มในเดือนเมษายนส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย
หากรูปแบบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทั่วทั้งภูมิภาค พลิกกลับกลายเป็นการทำให้เกิดโอกาสที่เศรษฐกิจในวงกว้างจะสามารถฝ่าฟันฤดูหนาวในปีนี้จากการปิดระบบอย่างรุนแรงได้โดยไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือทางการเงินฉุกเฉินใหม่ หรือทำให้แผน ECB ที่จะเปลี่ยนจากมาตรการกระตุ้นวิกฤต ก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่ายินดี
เพียงแค่มีข่าวว่า ECB จะไม่เลื่อนแผนของการที่จะยุติการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินในเดือนมีนาคม
ก็ถือว่ามาตรการล็อกดาวน์ที่จะมีขึ้นมีแนวโน้มที่จะมีผลดีปานกลางต่อกิจกรรมในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการที่เน้นการติดต่อส่งสินค้าไปมาข้ามพรมแดน
ในกรณีของไทยนั้น มีความจำเพาะของสถานการณ์ “แบบไทย ๆ” ขึ้นมา และชี้ให้เห็นว่าความกลัวในแบบที่มนุษย์ถ้ำของพลาโต้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19
– การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย ดำเนินอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2563 และเป็นส่วนหนึ่งของการระบาดทั่วโลกของโควิด-19 เท่ากับคนไทยทั้งประเทศถูกจับเป็นตัวประกันชั้นแรกจากเชื้อไวรัสที่ระบาดไปทั่วโลก
– นโยบายของรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจเทียบเคียง หรือมากกว่าชีวิตประชาชน โดยงัดเอามาตรการ “ปิด ๆ เปิด ๆ” ที่อาจจะส่งผลเสียให้กับเศรษฐกิจและสุขภาพจิตของประชาชนมากกว่าผลดีเพราะเป็นการ “เจ็บแต่ไม่จบ” โดยที่ไม่มีแผนกลยุทธ์ที่ถอนตัวจากปัญหาหรือ exit strategy ที่ชัดเจนและมีผลที่ยั่งยืนชนิด “เจ็บแต่จบ” จริง ๆ เป็นการจับคนไทยเป็นตัวประกันชั้นที่สอง
– ความเลอะเทอะของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบต่อการดูแลเรื่องสุขภาพประชาชน ทำให้ประเด็นเรื่องสุขภาพกลายเป็นความอยุติธรรมทางสังคมทั้งการฉีดวัคซีนที่สับสน และมาตรการเยียวยาแบบฝนตกไม่ทั่วฟ้าที่ลบความชอบธรรมของรัฐบาล ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกว่า ตกเป็นตัวประกันอีกชั้นหนึ่ง
การตกเป็นตัวประกันถึง 3 ชั้นดังกล่าวเป็นทั้งข้อเท็จจริง และปมประเด็นที่ทำให้จากนี้ไปวิถีชีวิตของคนไทยจะต้องเผชิญกับภาวะ “นิวนอร์มอล” ใหม่ที่ต่างจากเดิมอย่างเลี่ยงไม่พ้น
ภาวะนิวนอร์มอล ใช้ในความหมายที่เข้าใจกันได้ว่า เมื่อหลีกเลี่ยงไม่พ้น และขจัด
จุดอ่อนของความกลัว ที่ซ้ำซากจนชาชิน จึงไม่น่ากังวลเท่าที่ควรการอยู่ร่วมกันอย่างคู่ขนานกับโควิด-19 เป็นเวลายาวนาน เพื่อควบคุมความเสียหายให้เกิดในวงจำกัด กลายเป็นความจำเป็นที่พึงกระทำ หรือเป็นไปตามปรัชญาเก่าแก่ของไลบ์นิซที่ว่าด้วย “โลกที่ดีสุดเท่าที่เป็นไปได้” หรือ the best of all possible world
เพราะว่าความเคยชินกับความไม่รู้ สามารถแปรเป็นความรู้ได้ไม่ยากนัก