วิกฤต คือ โอกาส
ที่ผ่านมามีเรื่องใหญ่ที่ทำให้ผู้คนในประเทศตื่นตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 2 เรื่องด้วยกันคือ ไวรัสกลายพันธุ์ กับ เลือกตั้ง อบต.
*สัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องใหญ่ที่ทำให้ผู้คนในประเทศตื่นตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 2 เรื่องด้วยกันคือ ไวรัสกลายพันธุ์ กับ เลือกตั้ง อบต. โดยทั้งสองประเด็นเป็นเรื่องราวที่กระทบกับชีวิตความเป็นอยู่อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องไวรัสกลายพันธุ์ถือเป็นเอฟเฟกต์ที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกกราวรูดกันอย่างถ้วนหน้า จนมองไม่เห็นหนทางที่จะทำให้ทุกอย่างฟื้นกลับมาได้ในเร็ววัน (ขวัญกระเจิงไปหมดแล้ว) นะจ๊ะ
*ส่วนการเลือกตั้งของ อบต. ก็ไม่มีอะไรพลิกโผอีกตามเคย เพราะบ้านใหญ่แต่ละจังหวัดคุมเสียงคนของตัวเองได้หมด ส่งผลให้พรรคส้มที่หมายมั่นปั้นมือจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ตกอยู่ในสภาพแพ้ราบคาบแบบแลนด์สไลด์ แถมเมื่อวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศก็กลายเป็นว่า ได้ที่นั่งไม่ถึงเปอร์เซ็นต์! ซึ่งเป็นการย้ำหัวหมุดให้ “น้องทอน” และ “เฮียบุด” สำเหนียกว่า “โลกเสมือนจริง” กับ “โลกของจริง” มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง น่าจะเลิกหลอกตัวเองเสียที..อิอิอิ
*เมื่อแฟนคลับเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ น่าจะรับรู้สาเหตุที่ทำให้หุ้นไทยดิ่งเหวลงมาปิดที่ระดับ 1,589.69 จุด ลบไป 20.92 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.15 แสนล้านบาท ล้วนเกิดจากยุทธวิธีขายหุ้นเพื่อหนีไปตั้งหลัก เพราะสถานการณ์โดยรวมไม่น่าไว้ใจเลยสักอย่าง แถมทุกคนเคยประสบกับการระบาดในหลายระลอก จึงไม่ต้องแปลกใจที่นักเล่นสถาบันขายหุ้นทิ้งแบบหูดับตับไหม้ไงล่ะคะ
*ในระหว่างที่หุ้นจำนวนมากตกอยู่ในภาวะชะงัก กลับมีหุ้นหลายตัวที่สวนกระแสอย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะในรายของหุ้น JMART ภายใต้การกุมบังเหียนของ “พี่ตุ้ม” ถือเป็นดาวเด่นที่ “โมนิก้า” พูดถึงไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี และวันนี้ก็ต้องเม้าท์ถึงต่อไปเรื่อย ๆ เพราะโมเมนตัมของธุรกิจกำลังติดลมบนแบบสุด ๆ ราคาหุ้นถึงวิ่งขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 52 บาท บวกไป 1.75 บาท หรือขึ้นไป 3.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.59 พันล้านบาท ท่ามกลางตลาดหุ้นแดงแป๊ดพะยะค่ะ
*ส่วนเด็กในสังกัดที่ฟอร์มจัดจ้านเกินบรรยาย “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น SINGER แบบไม่ลังใจ เพราะเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่ปั๊มกำไรเป็นกอบเป็นกำ แถมเมื่อ 6 ปีก่อนไม่มีใครเชื่อว่าจะทำสำเร็จเหมือนที่พูดไว้ เดี๊ยนจึงอยากให้แฟนคลับประเมินตัวเลขกำไรในปีหน้าจะโตขนาดไหน? และการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 48.50 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 517 ล้านบาท ยังมีแก๊ปให้ไปต่อหรือเปล่า?..ลองไปคิดกันนะจ๊ะ
*สำหรับรายที่ไม่เคยทำให้เดี๊ยนผิดหวังแม้เลยสักครั้ง เดี๊ยนขอหันไปมองไปที่หุ้น JMT อย่างรวดเร็ว เพราะกำลังจะเป็นบริษัทเก็บหนี้รายใหญ่ของประเทศ และในปลายสัปดาห์นี้น่าจะมีข่าวดีออกมาจากปากของ ธปท. หรือย่างช้าสุดก็เป็นสัปดาห์หน้า “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟน ๆ ประเมินเรื่องเงินเพิ่มทุนก้อนมหึมา กับหนี้เสียที่กองเป็นภูเขาเลากาจะช่วยหนุนกำไรโตขนาดไหน? และการยืนปิดที่ระดับ 59.25 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 0.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.27 พันล้านบาท น่าซื้อไหมเอ่ย?
*เช่นเดียวกับหุ้นตัวโปรดอย่าง EA ก็อยู่ในกลุ่มที่ลงทุนยาวได้สบาย ๆ แถมเมื่อมองดูจากแผนงานที่จะโตกระฉูดในอีก 3 ปีข้างหน้า มันมีเรื่องเขื่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงกลายเป็นหุ้นที่ต้องตามดูกันยาวเป็นพิเศษ “โมนิก้า” เลยไม่แปลกใจที่ตอนนี้เขาปรับเป้าขึ้นไปยืนแถว 90 บาท เพราะราคานี้เขาเพิ่งรวมแบตบางส่วน เมล์ไฟฟ้าบางส่วน และเรือไฟฟ้าบางส่วนเท่านั้นเอง..เลยทำให้ราคาปิดที่ 79 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 0.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.01 พันล้านบาทต่ำเกินไปมั้ง!..ไม่เชื่อลองถามคุณน้อง “อมร” แล้วกันนะนายจ๋า!
*เม้าท์ถึงหุ้นใหญ่เยอะพอสมควรแล้ว “โมนิก้า” ขอหันไปดูหุ้นไซด์เล็กฟอร์มเริ่มดีอย่าง WINMED กันสักหน่อย เพราะการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 6.30 บาท บวกไป 0.30 บาท หรือขึ้นไป 5% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 110 ล้านบาท ทั้งที่โบรกเกอร์ให้ราคาเป้าสูงถึงระดับ 8 บาท ล้วนเป็นผลมาจากสินค้าของบริษัทตอบโจทย์เรื่องการระบาดโควิดรอบใหม่เต็ม ๆ ผสานกับไตรมาส 4 และไตรมาส 1 เป็นช่วงพีกของการปั๊มกำไร จึงกลายเป็นหุ้นที่เหมาะต่อการโหนกระแสสุด ๆ เจ้าค่ะ
*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันมามองหุ้น XO กันอีกสักครั้ง เพราะหลังจากผ่านพ้นช่วง “เรือขาด ขวดขาด” และเข้าสู่จังหวะปั๊มยอดขายอย่างเต็มตัว เดี๊ยนเลยเชื่อว่า การยืนปิดที่ระดับ 19.60 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 2% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 101 ล้านบาท น่าจะเป็นการเล่นรอบใหม่อย่างแน่นอน แถมมีเรื่องโควิดกลายพันธุ์เป็นตัวเร่งเชื้อไฟแบบนี้ เดี๊ยนคงบอกได้แค่ follow buy ยาวไปเจ้าค่ะ