พาราสาวะถี
หลังจากเปิดประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สิ่งที่กลัวกันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีการพบโควิดกลายพันธุ์โอไมครอน ต้นตอจากแอฟริกา
ไม่มีอะไรผิดพลาด แต่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เคยบอกไปก่อนหน้า สถานการณ์ของโควิด-19 เป็นเรื่องไม่สามารถเบาใจและคาดหมายได้ว่ามันจะดีขึ้นจนทำให้คนกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติเหมือนเดิม ขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะทำงานทั้งหลายกำลังฝันหวานถึงการกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงภาวะปกติ หลังจากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สิ่งที่กลัวกันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีการพบโควิดกลายพันธุ์โอไมครอน ต้นตอจากแอฟริกา
แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศห้ามคนจาก 8 ประเทศเดินทางเข้าไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไปนั้น แต่เมื่อดูตัวเลขของการพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ดังกล่าวได้กระจายตัวไปในหลายประเทศทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และล่าสุดก็มาโผล่ที่สิงคโปร์ ถือว่าใกล้ประเทศไทยเข้ามาทุกขณะ ทว่าด้วยข้อจำกัดทางข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเชื้อชนิดนี้แพร่กระจายได้เร็วกว่าเดลต้าที่ยึดครองโลกอยู่ในเวลานี้หรือไม่
รวมไปถึงความรุนแรงของเชื้อ ที่เบื้องต้นทาง นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า อาการสำคัญเหมือนโรคไข้หวัดคือ เพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ประมาณ 2-3 วันก็จะดีขึ้น ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง สิ่งสำคัญคือจากเดิมที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่เคาะให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไม่ต้องผ่านการตรวจด้วยวิธี RT-PCR โดยเปลี่ยนเป็นการตรวจด้วย ATK แทนนั้น ที่ประชุมครม.ได้เคาะให้ยังคงใช้การตรวจด้วยวิธี RT-PCR ต่อไป ซึ่งก็น่าจะช่วยสร้างความมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนทั้งโลกให้ความสนใจคงไม่ได้อยู่ที่ว่าเชื้อดังว่าจะแพร่กระจายได้เร็วหรือมีความรุนแรงขนาดไหน ที่คนอยากได้คำตอบกันมากที่สุดคือวัคซีนที่ฉีดกันไปนั้นสามารถรับมือกับโควิดสายพันธุ์นี้ได้หรือไม่ เมื่อฟังบทสัมภาษณ์ของ สเตฟาน บองเซล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอของบริษัท โมเดอร์นา แล้วทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเป็นกังวล เพราะเจ้าตัวยอมรับว่า “ไม่มีทางที่วัคซีนจะมีประสิทธิภาพต่อเชื้อโอไมครอนในระดับเดียวกับเชื้อเดลต้าได้”
ไม่เพียงเท่านั้น ซีอีโอโมเดอร์นายังชี้ด้วยว่า ความสามารถในการต่อต้านวัคซีนของโอไมครอน อาจส่งผลให้เกิดจำนวนผู้ป่วยและผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมากขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังจะส่งผลให้การแพร่ระบาดที่ดำเนินมา 2 ปียืดเยื้อออกไปอีกนาน ตรงนี้แหละ เป็นสิ่งที่รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและศบค.จะต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด และเร่งระดมสมองเพื่อหาแนวทางในการรับมืออย่าให้เหมือนการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า
เนื่องจากกรณีโควิดสายพันธุ์อินเดียที่ระบาดอย่างรุนแรงในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น เป็นการยอมรับสภาพว่าไม่สามารถแจ้งเตือนประชาชนให้เตรียมการรับมือกันได้ทัน หลังจากมีการตรวจพบแล้วก็เกิดการแพร่ระบาดในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนทำให้เกิดปัญหาจำนวนเตียงรักษาผู้ป่วยไม่เพียงพอ ดังนั้น แม้จะมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้วจำนวนมากก็ไม่อาจจะไว้วางใจได้ ยิ่งซีอีโอของบริษัทวัคซีนใหญ่พูดเช่นนี้ยิ่งต้องวางแผนรับมือกันให้เร็ว
สิ่งที่ซีอีโอโมเดอร์นาระบุในตอนท้ายยิ่งต้องขีดเส้นใต้ เท่าที่ได้พูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์มาหลายคน ทุกคนให้ความเห็นไปในทำนองว่า “เรื่องนี้ต้องไม่ดีแน่ ๆ” ขณะเดียวกัน อัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของบริษัทไฟเซอร์ก็ให้สัมภาษณ์ในกรณีเดียวกัน ทางไฟเซอร์ได้เริ่มต้นกระบวนการเพื่อผลิตวัคซีนที่พุ่งเป้าป้องกันเชื้อโอไมครอนโดยเฉพาะ ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมาแล้ว เผื่อกรณีที่วัคซีนไฟเซอร์ที่ผ่านมาไม่สามารถจัดการกับเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่นี้ได้จริง ๆ
ในส่วนของรัฐบาลการที่ครม.มีมติให้คงวิธีการตรวจหาเชื้อสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยด้วยวิธี RT-PCR ต่อไปนั้น ต้องประเมินกันต่อว่าเพียงพอต่อการรับมือโควิดกลายพันธุ์ตัวนี้หรือไม่ หรือจะต้องทบทวนนโยบายของการเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว กลับไปเป็นการกักตัวเพื่อความปลอดภัยเป็นเวลา 14 วันเหมือนที่ผ่านมา ขณะที่ภาคประชาชนนั้นไม่ต้องห่วง คนส่วนใหญ่ได้เคร่งครัดต่อมาตรการป้องกันตัวเองแบบครอบจักรวาลกันอยู่แล้ว
ประเด็นการฉีดวัคซีนที่เดิมที อนุทิน ชาญวีรกูล ตีปี๊บป่าวร้องว่าจะสามารถฉีดได้ครบ 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนแน่นอน ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทำได้ จนฝ่ายข้าราชการประจำของกระทรวงสาธารณสุขนำโดยปลัดกระทรวงต้องใช้ยุทธวิธีจัดกิจกรรมสัปดาห์ของการฉีดวัคซีนขึ้นระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายนถึง 5 ธันวาคม เพื่อดึงจังหวะไม่ต้องการให้ทุกฝ่ายเสียหน้า โดยเฉพาะเสนาบดีเจ้ากระทรวง แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขยอมรับเองว่าไม่น่าถึง ก่อนจะออกตัวแบบหมอการเมืองว่า ไม่ใช่ว่าไม่ได้เป้าแล้วแย่ เพราะแค่ทำได้ 95 ล้านโดสก็ทำกันเต็มที่แล้ว ถ้าตัดเกรดก็ได้เกรด A แล้ว ซึ่งตัวเลข 100 ล้านโดสคืออยากให้ได้ดีที่สุด ความจริงประชาชนคงไม่มีใครติดใจ เพราะตัวเลขที่กำหนดและเป้าหมายที่พากันคุยฟุ้งนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากการที่รัฐมนตรีว่าการเจ้านายของท่านปลัด รวมไปถึงลิ่วล้อในพรรคที่ตัวเองเป็นหัวหน้า ต่างพากันไปโพนทะนาสร้างเงื่อนไขกันเอง
ขณะที่อนุทินถึงนาทีนี้ไม่พูดถึงตัวเลขดังกล่าวแล้ว แต่เปลี่ยนประเด็นไปที่เป้าหมายในปีนี้ของกระทรวงสาธารณสุขคือฉีดให้ได้ 120 ล้านโดสแทน กรณีนี้ถือเป็นบทเรียนอีกครั้งสำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคุณหมอ ตั้งแต่วลีไข้หวัดกระจอก จนถึงวัคซีนม้าตัวเดียว ทั้งหมดเกิดจากความมั่นใจในตัวเองจนเกินเหตุ สุดท้ายพอไม่เป็นไปเช่นนั้น ก็อาศัยวิธีทางการเมืองแถไถไปต่าง ๆ นานา อย่าคิดว่าความมีต้นทุนส่วนตัวที่เหนือกว่าใครในบรรดานักการเมืองด้วยกันเองจะช่วยได้ทุกเรื่อง บางอย่างถ้ามันเป็นสิ่งที่สุดโต่งและแสดงความโง่มากกว่าโชว์ความฉลาด ผู้ที่คอยเป็นเกราะป้องกันให้ก็เปลืองตัวอยู่เหมือนกัน