คัดธีมหุ้นน่าลงทุนปี 65

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2565 หลายฝ่ายประเมินว่าจะเป็นปีที่ดี คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในอัตราที่เร็วขึ้น โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว


เส้นทางนักลงทุน

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2565 หลายฝ่ายประเมินว่าจะเป็นปีที่ดี คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในอัตราที่เร็วขึ้น โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งหากการระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลง พร้อมกับจีนอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ก็จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เนื่องจากนักท่องเที่ยวหลักเป็นชาวจีน

ขณะที่ภาคการส่งออกน่าจะเติบโตได้แข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ในปีนี้ไทยประสบปัญหาเช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ ในด้านการส่งออก กล่าวคือ ปัญหาการขาดแคลนอุปทานและขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้บางโรงงานต้องหยุดการดำเนินงานชั่วคราว ดังนั้น หากปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี เศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าที่คาดมาก และส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย

สอดคล้องกับทาง นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต CFA, รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ส่วนในปี 2565 ดัชนีหุ้นไทยน่าจะมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,850 จุด ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3.9% ตามรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย

รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังรัฐบาลได้เร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน อีกทั้งคาดว่าหลังจากเปิดประเทศแล้ว ภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 6-8 ล้านคน บวกกับการฟื้นตัวของการส่งออกจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะส่งให้ปัจจัยพื้นฐานการลงทุนในหุ้นไทยดีขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากหลักทรัพย์ กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ถึงกลยุทธ์การลงทุนว่ามีการจัดธีมลงทุนในปี 2565 สอดคล้องไปกับสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์มีดังต่อไปนี้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน อาทิเช่น ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP, บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยให้ GDP ในปี 2565 เติบโตประมาณ 4%

ต่อด้วยประเด็น Pent-up demand ของการเดินทาง คาดผู้ที่จะได้รับประโยชน์ ได้แก่ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC  และ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เนื่องจากการเดินทางระหว่างประเทศในปี 2565 อาจเพิ่มขึ้น 2 ถึง 3 เท่าจากระดับปกติ เนื่องจาก “pent-up demand” ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นค่าการกลั่น (GRM) ของ SPRC และอัตราการเช่าพื้นที่ของ AWC มากขึ้น

ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่ม Anti-Commodities plays คาดผู้จะได้รับประโยชน์ ได้แก่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG, บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT, บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM โดยได้ประโยชน์หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง จากการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านอุปทานในปี 2565 น่าจะเสนอโอกาสในการ Trading หุ้นกลุ่มนี้

ส่วนอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น คาดผู้ที่จะได้รับประโยชน์ ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB โดยคาดนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น หลังวิกฤตโควิด-19 จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของสินเชื่อ ธนาคารและส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของบริษัทประกันภัย

นอกจากนี้ผู้ได้ประโยชน์หลักจากกระแสความนิยมของรถยนต์ ได้แก่ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE เนื่องจากยอดขายรถยนต์ ICE และ EV ที่เพิ่มขึ้น จะผลักดันการเติบโตของยอดขาย PCB

พร้อมกับการใช้ data usage 5G ที่เพิ่มขึ้น คาดผู้จะได้ประโยชน์ ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เนื่องด้วยการเร่งย้ายข้อมูลจากคลื่น 4G ไปยัง 5G IoT และ Metaverse จะเพิ่มความต้องการใช้ข้อมูล

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นเป็นการคาดการณ์ถึงบริษัทที่จะได้รับประโยชน์จากปัจจัยบวกต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565

Back to top button