4 หุ้นค้าปลีกสาขาเดิมฟื้น

ข้อมูลอัปเดตในบทวิเคราะห์ของ บล.เมย์แบงก์ ระบุกรณีของบริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่ได้มีการติดตาม หรือประเมินมาอย่างต่อเนื่อง พบว่า สาขาเดิม (SSSG) ช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา ฟื้นตัวเป็นบวกทุกบริษัท


เส้นทางนักลงทุน

ข้อมูลอัปเดตในบทวิเคราะห์ของ บล.เมย์แบงก์ ระบุกรณีของบริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่ได้มีการติดตาม หรือประเมินมาอย่างต่อเนื่อง พบว่า สาขาเดิม (SSSG) ช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา ฟื้นตัวเป็นบวกทุกบริษัท

ทั้งนี้เป็นผลจากการคลายล็อกดาวน์ตั้งแต่เดือน ก.ย. และการยกเลิกเคอร์ฟิวในเดือน พ.ย. ผลตามมาส่งผลให้การอุปโภคบริโภคฟื้นตัว รวมไปทั้งการเปิดเทอม การกลับมาทำงานมากขึ้น และมีการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ปี 2564

เช่นเดียวกับกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ได้แก่ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน)  หรือ DOHOME และ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL มีสาขาเดิม (SSSG) เป็นบวกมากขึ้นเป็น 38-40% และ 13.15% ตามลำดับ โดยยังคงได้ผลบวกจากราคาเหล็กซึ่งยังอยู่ในระดับสูง และสินค้าวัสดุก่อสร้างขายดีมากยิ่งขึ้น

ขณะที่ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO มีสาขาเดิม (SSSG) พลิกจาก ลบ 11% ในไตรมาส 3 ปี 2564 มาเป็นบวก 10.12% จากฐานต่ำและสาขากลับมาเปิดทั้งหมดหลังคลายล็อกดาวน์ เมกา โฮมมี SSSG ฟื้นตัวอย่างมีนัยมาเป็นบวก 7-9% จากลบ 60% ในไตรมาส 3 ปี 2564 ที่การปิดสาขาในช่วงล็อกดาวน์

ส่วนกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค มีสาขาเดิม (SSSG) ต่ำกว่ากลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้าน แต่ก็ฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยในส่วนของ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC  โดยทางบิ๊กซี ฟื้นจากติดลบ 6.6% ในไตรมาส 3 ปี 2564 มาเป็นบวก 1-2% โดยกลุ่มสินค้าประเภทอาหารมี SSSG เป็นบวก ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหารมี SSSG ติดลบน้อยลง

อย่างไรก็ดีแนวโน้ม SSSG ในเดือน ธ.ค. 2564 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลและมีการเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก

ทั้งนี้ทาง บล.เมย์แบงก์ ประเมินว่า SSSG ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ของกลุ่มค้าปลีกทุกบริษัทจะเป็นบวก ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นค่อย ๆ ฟื้นตัวตามยอดขาย โดยเฉพาะ DOHOME และ GLOBAL ซึ่งยังได้อานิสงส์จากราคาเหล็กเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน และการเพิ่มสัดส่วนของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง รวมทั้งสินค้า House brand มีอัตรา กำไรเพิ่มขึ้น ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคยังไม่กลับสู่ระดับปกติ แต่ก็ฟื้นตัว

นอกจากนี้ประเมินว่ากำไรไตรมาส 4 ปี 2564 ของกลุ่มค้าปลีกทุกบริษัทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการเปิด เมืองและเข้าสู่ไฮซีซั่น โดยคาดว่า DOHOME และ GLOBAL ยังมีกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากงวดเดียวกันของปีก่อนด้วย

ขณะที่กำไร HMPRO และ BJC มีโอกาสเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน และเป็นกำไรสูงสุดของปี ภาพรวมผลประกอบการปี 2565 กลุ่มค้าปลีกจะฟื้นตัวขึ้นทุกบริษัทจากการเปิดประเทศ รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อคาดว่าจะผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น แม้ค่าขนส่งที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต้นทุนและค่าใช้จ่าย แต่คาดว่ายอดขายที่เติบโตจากทั้ง SSSG และการขยายสาขา รวมทั้งการปรับ Product mix เน้นสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง จะชดเชยต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นได้

นอกเหนือจากผลการสำรวจหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ทาง บล.เมย์แบงก์ ประเมินแล้ว สำหรับ DOMOME, GLOBAL, HMPRO และ BJC ถือว่าทางโบรกเกอร์อื่นยังมองมีการฟื้นตัวเช่นกัน

บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME โดย บล.เคจีไอ คาดว่ากำไรของ DOHOME ในไตรมาส 4 ปี 2564 จะดีขึ้นทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดขายที่แข็งแกร่ง เพราะ SSSG แข็งแกร่ง และมีการเปิดสาขาใหม่ และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น

พร้อมกับบริษัทยังคงแผนการขยายสาขาเพิ่มอีกประมาณปีละ 5 ร้าน โดยตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 36 ร้านภายในปี 2568 ซึ่งการขยายสาขาร้านอย่างต่อเนื่อง จะทำให้บริษัทมีอำนาจต่อรองกับ supplier เพิ่มขึ้นตามจำนวนสินค้าที่ซื้อ และ product mix ที่ดีขึ้น และเมื่อประกอบกับกลยุทธ์การขายสินค้า house brand บริษัทตั้งเป้ายอดขายสินค้า house brand เอาไว้ที่ 20% ในปี 2565 ซึ่งทำให้มีการคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ DOHOME น่าจะเพิ่มขึ้นอีก

ดังนั้นนักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ที่ 34.00 บาท

บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL โดยทาง บล.เคทีบีเอสที ซึ่งคาดไตรมาส 4 ปี 2564 จะฟื้นตัวหลังรัฐบาลคลายมาตรการป้องกันโควิด พร้อมอัดฉีดงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะหนุนกำลังการซื้อ ผลักดันยอดขายสินค้าตกแต่ง ซ่อมแซมโรงแรมและที่พักมากขึ้น

อีกทั้งสถานการณ์น้ำท่วมที่เริ่มคลี่คลายจะทำให้เกิด demand หนุนการตกแต่ง ซ่อมแซมบ้านเรือน บวกกับการเปิ ดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขาในประเทศ รวมเป็น 76 สาขา และต่างประเทศอีก 2 สาขา อย่างไรก็ตามคงกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 3.26 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ คงกำไรสุทธิปี  2565 ที่ 3.49 พันล้านบาท หนุนโดยรายได้ที่เติบโตจากการเปิดสาขาเพิ่ม และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 24.5% สอดคล้องกับการปรับกลยุทธ์การขายที่เน้นสินค้า House Brand มากขึ้น

พร้อมกับคาดว่าจะยังเห็นการเติบโตของ GLOBAL ได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากที่บริษัทยังมีแผนการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ และปรับ product mix เพิ่ม house brand ให้ GPM ปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะมีการเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ย CAGR ปี 2563-2566 เพิ่มขึ้น 26%

ดังนั้นทางนักวิเคราะห์คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมไปปี 2565 ที่ 28.00 บาท

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO โดยทาง บล.เคจีไอ ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานพ้นจุดต่ำสุดในปีนี้ โดยคาดกำไรปี 2565 โตเพิ่มขึ้น 11.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวหลังโควิด-19 เริ่มผ่อนคลายลง อีกทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ เริ่มกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ อีกครั้ง

ดังนั้นนักวิเคราะห์คงคำแนะนำ “ซื้อ”  ราคาพื้นฐาน 16 บาท

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC โดยทาง บล.เมย์แบงก์ การเปิดเมืองทำให้ SSSG ของบิ๊กซีในเดือน ต.ค. พลิกมาเป็นบวกเล็กน้อย โดยสาขาในกรุงเทพฯ ฟื้นตัวได้ดีกว่าต่างจังหวัด ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวได้เร็ว พื้นที่เช่ามีอัตราเข้าเช่าเพิ่มขึ้น โดยร้านค้าทยอยกลับมาเปิดเกือบทั้งหมดแล้ว และส่วนลดค่าเช่าน้อยลงเหลือต่ำกว่า 10% ส่วนกลุ่มธุรกิจของ BJC มียอดขายเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากการที่ลูกค้ากลุ่มส่งออกอาหาร มีการส่งออกได้มากขึ้น

อีกทั้งความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์กระป๋องในเวียดนามฟื้นตัวชัดเจนหลังจากคลายล็อกดาวน์ ในด้านต้นทุนยังมีการบริหารจัดการได้ดีจากการใช้ cost plus และได้ผลบวกจากการประหยัดจากขนาด กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคได้ผลบวกจากการเปิดเมือง และเข้าสู่ไฮซีซั่นจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่มีความกดดันด้านราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นจากน้ำมันปาล์มและค่าขนส่ง อย่างไรก็ดี บริษัทมีมาตรการประหยัดต้นทุนและการปรับราคาขายขึ้นทางอ้อม ช่วยลดผลกระทบได้บางส่วน

อย่างไรก็ดีคาดว่ากำไรไตรมาส 4 ปี 2564 ของ BJC ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาสก่อนหน้า และเป็นกำไรสูงสุดของปี

นอกจากนี้คาดกำไรจะฟื้นตัวชัดเจนในปี 2565 จากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะบิ๊กซีซึ่งคาดว่ายอดขายสินค้ากลุ่มอุปโภคจะฟื้นตัวหลังจากถูกกระทบมากในช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งคาดว่า จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น และรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย กลุ่มบรรจุภัณฑ์มีการออกสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น เช่น กระป๋องขนาดใหม่ ส่วนกลุ่มขวดแก้วคาดว่าจะเติบโตจากการฟื้นตัวของลูกค้ากลุ่มเครื่องดื่ม

ดังนั้นนักวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 42 บาท

เริ่มเห็นการฟื้นตัวของกลุ่มค้าปลีกนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 เป็นต้นไป จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นหลังจากคลายล็อกดาวน์!

Back to top button