พาราสาวะถี
รัฐบาลจะปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ การที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน ตั้งโต๊ะแถลงอัดฝ่ายค้านไม่ยอมร่วมขานชื่อนับองค์ประชุมทั้งที่นั่งกันอยู่เต็มสภา
โทษกันไปมาไม่มีประโยชน์ ปัญหาการประชุมสภาผู้แทนราษฎรล่มที่เกิดขึ้นอีกแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ถามว่าความรับผิดชอบเป็นของฝ่ายไหน รัฐบาลจะปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ การที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน ตั้งโต๊ะแถลงอัดฝ่ายค้านไม่ยอมร่วมขานชื่อนับองค์ประชุมทั้งที่นั่งกันอยู่เต็มสภา นั่นเป็นเรื่องของสปิริตทางการเมืองที่ใครจะแสดงออกหรือไม่อย่างไรก็ได้ เหมือนที่พรรคสืบทอดอำนาจต้นสังกัดของไพบูลย์ปฏิเสธว่าไม่มีคำว่าสปิริตกับพรรคร่วมรัฐบาลในการเลือกตั้งซ่อมนั่นปะไร
กรณีของการรักษาองค์ประชุมในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของฝ่ายรัฐบาลล้วน ๆ เนื่องจากเป็นฝ่ายกุมเสียงข้างมากในสภา และยังมีเสียงของส.ส.ฝ่ายค้านที่เตรียมแปรพักตร์สนับสนุนอีก การที่องค์ประชุมไม่ครบย่อมทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ส.ส.รัฐบาลไปซุกหัวอยู่ไหน เป็นพวกสันหลังยาวหรือไม่ การเที่ยวอ้างติดภารกิจโน่นนี่นั่น โดยเฉพาะเรื่องการประชุมคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจ ปฏิเสธเสียงแข็งว่าการประชุมสภาไม่ล่ม กับเหตุผลที่ว่า “ประธานที่ประชุมให้เวลาในการนับองค์ประชุมน้อยแค่ 2.10 นาที มันน้อยเกินไป ส.ส.เขาอยู่ในสภาฯ กันทั้งหมด แต่อยู่ที่ห้องของเขาและเดินมาไกล และกำลังจะเข้าห้องประชุม ซึ่งขาดไปเพียง 10 คนเท่านั้น ไม่ได้สภาฯ ล่ม รับทราบตามนี้” แม้จะไม่ยอมรับตรง ๆ แต่ก็ถือเป็นการบอกเป็นนัยว่า ภาระความรับผิดชอบเรื่ององค์ประชุมทั้งหมดอยู่ที่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล
ถ้าจะหาเหตุผลหรือชวนให้คิดกันไปในประเด็นความขัดแย้งภายในพรรคสืบทอดอำนาจก็น่าสนใจไม่น้อยกับประเด็นสภาฯ ล่มในวาระการเตรียมลงมติเรื่อง รายงานการพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญที่มี ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นประธานกรรมาธิการพิจารณาแล้วเสร็จ มากไปกว่านั้นคนที่ดูแลเรื่องงานบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลก็คือพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.นั่นเอง
หรือจะเป็นการวางยากันเอง แน่นอนว่าบรรยากาศเช่นนี้ย่อมเป็นสัญญาณไม่สู้ดีที่จะทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไว้วางใจได้ ขนาดการพิจารณาเรื่องที่ไม่ได้มีความสำคัญมากยังกลายเป็นเรื่องแบบนี้ ถ้ามีวาระการพิจารณาเรื่องสำคัญของรัฐบาลมันจะทำให้เสียวสันหลังกันขนาดไหน นี่จึงเป็นสิ่งที่ท่านผู้นำสั่งการผ่านที่ประชุมครม.และย้ำเตือนกันเกือบทุกนัดให้รัฐมนตรีแบ่งเวลาไปร่วมชี้แจงและประชุมสภาด้วย หรืออีกนัยเป็นการไปดูแลเรื่องการต่อรองที่ยุคสมัยนี้เขาใช้สูตรจ่ายสดงดเชื่อกันแล้ว
เป็นปกติธรรมดาของการเมืองในระบบเลือกตั้งยิ่งเข้าสู่ช่วงกลางหรือปลายสมัยของรัฐบาล นักเลือกตั้งต่างพากันมองไปถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อหย่อนบัตรในสมัยหน้า ดังนั้นทุกเรื่องที่ต้องอาศัยเสียงโหวตจึงเต็มไปด้วยต้นทุน ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจรู้ซึ้งถึงก้นบึ้งหัวใจเป็นอย่างดีแล้ว จากคืนวันก่อนลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมที่ผ่านมา กับการที่ต้องบากหน้าลดตัวลงไปเจรจากับคนที่ครั้งหนึ่งตัวเองเคยประณามว่าชั่วว่าเลว
ขณะเดียวกัน เมื่อไปดูวิวาทะที่เกิดขึ้นก่อนการประชุมสภาจะล่มระหว่าง รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ กับส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ทำให้เห็นสัจธรรมของคำว่ากงเกวียนกำเกวียนทางการเมืองเป็นอย่างดี เพราะการที่ส.ส.หญิงรายนี้อ้างว่าการรักษาองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของส.ส.ทุกคน ทุกฝ่ายนั้น อยากให้ย้อนกลับไปดูในช่วงที่พรรคของตัวเองทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านเอาเฉพาะในยุคของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่วันนี้ก็ยังมีหลักฐานฟ้องอยู่ ทั้งบันทึกการประชุมและคลิปในโซเซียลมีเดีย
ในเวลานั้นพรรคเพื่อไทยโดนฝ่ายค้านขอนับองค์ประชุมวันละห้าครั้ง การวอล์กเอาต์กลายเป็นเรื่องปกติกับวาทกรรมเผด็จการรัฐสภา และที่ทุกคนจำกันติดตาก็คือการที่ท่านผู้ทรงเกียรติจากพรรคเก่าแก่ปาแฟ้มใส่ประธานในที่ประชุม รวมไปถึงการทุ่มเก้าอี้ในห้องประชุม นี่ไงบทพิสูจน์เอาดีเข้าตัวของแท้ ถ้าแก้ที่นิสัยของตัวเองไม่ได้ก็อย่าไปเที่ยวโทษคนอื่น สิ่งสำคัญคือเมื่อมีการสร้างบรรทัดฐานที่เลวทรามต่ำช้าไว้ พอวันหนึ่งที่ตัวเองกลับมายืนอยู่ฝั่งกุมอำนาจมันก็วกกลับมารัดคอตัวเอง
ไม่ต่างกันกับท่าทีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจล่าสุด ที่ออกอาการงอนนักข่าวไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใด ๆ พร้อมกับการพูดเชิงน้อยใจว่า “ไม่เอา พูดเล่น ไปตีความกันเยอะแยะ” ก็อยากถามเหมือนกันว่าสิ่งที่พูดบนเวทีต่อหน้าชาวยะลาจำนวนมาก ว่าด้วยเรื่องเลี้ยงไก่ครัวเรือนละ 2 ตัว กับแม่มีลูกมากแล้วขาดแคลเซียมนั้น เป็นเรื่องไม่จริงจังอย่างนั้นหรือ จะบอกว่าเป็นบทเรียนของกลอนพาไปหรือพูดโดยไม่คิดก็ไม่ได้ เพราะท่านผู้นำประกาศเองว่าทุกเรื่องทุกอย่างที่ออกจากปากผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว
มันไม่ใช่การเดินปะแล้วหยอกล้อกัน แต่สิ่งที่พ่นออกมาจากปากทั้งสองเรื่องมันเป็นการพูดอย่างเป็นทางการ และคนที่ฟังก็เชื่อได้ว่านี่คือแนวคิด วิสัยทัศน์ของคนที่เป็นผู้นำ เป็นธรรมดาของการเมืองที่อยู่ในสภาพกระแสตกความนิยมต่ำ ถ้าพูดโดยไม่คิดย่อมมีสิทธิที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แล้วคนที่พูดก็จะออกอาการอย่างที่เห็น อย่างไรก็ตาม บางคนบางพวกภายในพรรคสืบทอดอำนาจกลับกระหยิ่มยิ้มย่องที่ท่านผู้นำตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ เพราะแรงกดดันที่ถาโถมมันหมายถึงการไปเพิ่มมูลค่าของการต่อรองทุกครั้ง
โควิดสายพันธุ์โอมิครอน ทั้งที่ทั่วโลกให้ความสนใจใกล้ชิด แต่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยข่าวคราวเรื่องนี้ดูเงียบ ๆ ยังไงชอบกล หรือจะเป็นอย่างที่ สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขบอก เชื่อว่าอย่างไรประเทศไทยก็ต้องเจอ “ส่วนตัวลึก ๆ เชื่อว่าเข้ามาประเทศไทยแล้ว เราต้องเจออยู่แล้ว” แต่มาตรการที่ดำเนินการอยู่นี้ยังช่วยเฝ้าระวัง ป้องกัน และติดตามผู้ติดเชื้อได้ ขอให้เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่มารู้ตัวอีกทีก็ระบาดไปทั่วเหมือนกรณีเดลต้า
ทั้งนี้ ก็มีสิ่งที่น่าจะพอทำให้คนไทยเบาใจกันได้บ้าง คงเป็นผลการศึกษาของนักวิจัยในฮ่องกง ที่พบว่าเชื้อโควิดโอมิครอนเพิ่มจำนวนในหลอดลมได้มากกว่าชนิดเดลต้าเป็น 70 เท่า แต่เพิ่มจำนวนได้ไม่ดีในปอด บ่งชี้ว่าอาจก่อโรครุนแรงน้อยลง แต่ในทางกลับกันก็มีความเสี่ยงที่โอมิครอนจะก่อโรคมากกว่าเดิมถึง 7 เท่า นั่นหมายความว่า ถ้าไม่ป้องกันกันให้เต็มที่ ภาวะผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล เตียงไม่พอก็จะกลับมา และมีคำถามเรื่องระบบสาธารณสุขของประเทศที่จะรองรับกันอีก