กลัวก็ถอย..กล้าก็ซื้อ
ตราบใดที่ดัชนียืนเหนือแนวรับ 1,600 จุดต่อไปได้เรื่อย ๆ ก็ไม่รู้สึกซีเรียสเพราะวงรอบของการเล่นปีนี้บอกอย่างชัดเจนว่า เล่นไม่เกิน 1,660 จุด
*ตราบใดที่ดัชนียังประคองตัวยืนเหนือแนวรับ 1,600 จุดต่อไปได้เรื่อย ๆ “โมนิก้า” ก็ไม่รู้สึกซีเรียสแต่อย่างใด เพราะวงรอบของการเล่นปีนี้บอกอย่างชัดเจนว่า เล่นไม่เกิน 1,660 จุด “โมนิก้า” ถึงย้ำหัวหมุดเป็นประจำว่า ถ้าใจกล้าพอ ก็ช้อนหุ้นเก็บได้เลย แต่ถ้ากลัวจนตัวสั่น ก็ถอยไปห่าง ๆ เพราะเวทีนี้เดิมพันกันด้วยความใจถึง และความไว ซึ่งไม่เหมาะสำหรับคนที่มีหน่อมแน้มเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ
*ยิ่งสถานการณ์ของตลาดหุ้นทั่วโลกโดนโอมิครอนเล่นงานอย่างต่อเนื่อง ยิ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับการทะยานขึ้นของหุ้นไทย วานนี้ถึงเห็นดัชนีทรุดตัวลงมากองอยู่ที่ระดับ 1,615.80 จุด ลบไป 25.93 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.23 หมื่นล้านบาทแบบไร้ทางต่อสู้ เพราะผู้เล่นส่วนใหญ่เลือกใช้วิธี “ขายบน ซื้อล่าง” เพราะเชื่อว่า เที่ยวนี้ดัชนีจะลงมาใกล้กับแนวรับครั้งก่อนอย่างแน่นอนไงล่ะคะ
*ประกอบกับรูปแบบการเล่นเที่ยวนี้ยังเป็นลักษณะเข้าทำเร็ว “โมนิก้า” ถึงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้คล้ายกับเหตุการณ์โควิดระบาดรอบ 3-4 ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนสถาบันเทขายหุ้นทิ้งแบบหนักหน่วง ก่อนจะหวนกลับเข้ามาซื้อหุ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เดี๊ยนถึงเชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยจะตกอยู่ในภาวะกดดันแบบนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนประเด็นการเก็บภาษีหุ้นไม่น่าจะมีผลกับการลงทุนสักเท่าไหร่ เพราะมันถึงเวลาที่จะต้องจ่ายค่าต๋งแล้วจริง ๆ พะยะค่ะ
*สาเหตุที่ทำให้ “โมนิก้า” มองเช่นนั้นมาจากมูลค่าการซื้อขายในปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยมากสุดเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน และยังเป็นการซื้อขายที่คึกคักกว่าตลาดหุ้นเวียดนามเป็นช่วงตัว ขณะที่การซื้อขายของตลาดหุ้นสิงค์โปร์ก็เป็นตลาดที่ตกกระป๋องไปแล้ว เดี๊ยนถึงมองว่า ตลาดหุ้นไทยพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงแล้วจริง ๆ เพราะเรื่องนี้ก็อะลุ้มอล่วยมานานถึง 30 ปีแล้วนะจ๊ะ
*ที่สำคัญหากมองในมุมของหุ้นที่หลากหลายในตลาดหุ้นไทยเป็นที่ตั้ง ผนวกกับการซื้อขายเฉลี่ย 9 หมื่นล้านต่อวัน หรือแม้กระทั่งบทบาทของนักลงทุนแต่ละกลุ่มล้วนไม่ธรรมดา น่าจะเป็นจุดขายที่ทำให้บรรยายกาศการลงทุนยังคึกคักต่อไป “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับใจร่ม ๆ และค่อย ๆ มองแต่ละประเด็นด้วยใจเป็นกลางก็จะเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยมักนำสิ่งดี ๆ กลับมาเสมอเจ้าค่ะ
*คล้ายกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับหุ้นทีเด็ดอย่าง JMT ก็เป็นเรื่องเล่าที่ “โมนิก้า” พูดถึงเป็นประจำไม่ต่ำปีครึ่ง และวันนี้ก็ยังต้องเม้าท์ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะแวลูของหุ้นคงเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ 66.50 บาท บวกไป 3.50 บาท หรือขึ้นไป 5.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.02 พันล้านบาท มันเกี่ยวข้องกับพัฒนาการของบริษัทขนาดไหน? และที่ผ่านมากำไรโตต่อเนื่องจริงไหม?..ลองไปคิดดูจ้า
*เช่นเดียวกับในรายของ WICE ก็กลายเป็นหุ้นโกรทสต๊อกอย่างเต็มตัว ก็มาจากแผนธุรกิจที่มีการวางโครงข่ายไว้เป็นอย่างดี วันนี้จึงกลายเป็นวันที่เก็บเกี่ยวดอกผลทุกอย่าง ผนวกกับมีแผนจะดันบริษัทลูกเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น จึงกลายเป็นช็อตของการ follow buy แบบชิว ๆ เพราะทุกคนรู้ดีว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ทำเงินทุกราย วานนี้ถึงเห็นราคาหุ้นขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 17.60 บาท บวกไป 1.70 บาท หรือขึ้นไป 10.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 431 ล้านบาทไงล่ะคะ
*อีกรายที่ใส่ได้เต็มเหนี่ยว หลังดันตัวเองขึ้นไปเป็นฟินเทค และกำลังต่อยอดไปยังเรื่องปล่อยกู้แบบเต็มตัว “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น SABUY เพื่อชี้ให้ทุกคนเห็นว่า ไตรมาส 1 ปีหน้าจะมีทีเด็ดออกมาโชว์อีกแน่นอน และการที่หุ้นยืนปิดที่ระดับ 18.90 บาท บวกไป 0.30 บาท หรือขึ้นไป 1.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 223 ล้านบาท น่าจะเป็นจังหวะที่รอให้คนใจกล้าเข้ามาเก็บหุ้นเพื่อลุ้นผลงานในอนาคตไปด้วยกันนะจ๊ะ
*ประเด็นความกล้าที่ทำให้ “โมนิก้า” เลือกมองไปยังหุ้น WINMED เพื่อชี้ให้เห็นไซเคิลของหุ้นกำลังฟอร์มตัวในลักษณะแกว่งตัวขึ้น และยังเป็นการย้ำกับแฟนคลับขาประจำว่า ช่วงพีคของธุรกิจก็อยู่ในช่วงไตรมาส 4 กับไตรมาส 1 ผนวกกับช่วงนี้โควิดกลับมาสร้างความปั่นป่วนอีกรอบ จึงกลายเป็นหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ไปโดยปริยาย และการยืนปิดที่ระดับ 6.15 บาท บวกไป 0.15 บาท หรือขึ้นไป 2.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36 ล้านบาท น่าจะส่งสัญญาณให้รู้เป็นนัย ๆ แล้วนะคะ