ปีหน้าอาจไม่เป็นดังหวัง
การระบาดของโอมิครอนเริ่มมีแรงส่งทั้งในยุโรป สหรัฐฯ และแม้แต่ในบ้านเรา มากขึ้น ผลที่ตามมาคือ รัฐบาลต้องงัดมาตรการควบคุมแบบเดิม ๆ
ในขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ก็จะเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่งเป็นปีที่ทุกคนทั่วโลก รวมถึง นักวิทยาศาสตร์ และแม้กระทั่งหมอดู คาดการณ์ หมายมั่นและตั้งความหวังว่า โควิดจะซาลง แล้วเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติกันเหมือนเดิมสักที และหลายเศรษฐกิจก็น่าจะเริ่มเปิดใหม่เพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะนี้ดูเหมือนว่า ความหวังดังกล่าวอาจจะเลื่อนลอยอีกครั้ง การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนเริ่มมีแรงส่งทั้งในยุโรป สหรัฐฯ และแม้แต่ในบ้านเรา มากขึ้น ผลที่ตามมาคือ รัฐบาลต้องงัดมาตรการควบคุมแบบเดิม ๆ ออกมาใช้กันใหม่ทั้งที่เพิ่งผ่อนคลายกันไปได้ไม่นาน
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนนี้หน้านี้เท่านั้นที่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด คาดการณ์ว่าประเทศต่าง ๆ จะเริ่มหลุดพ้นจากการระบาดใหญ่ได้ในปีหน้า หลังจากที่ต้องทนเครียดจากการติดเชื้อระลอกแล้วระลอกเล่ากับสายพันธุ์ อัลฟ่า เบต้า แกมมา และเดลต้า
มีการคาดการณ์ว่า ประเทศกลุ่มแรก ๆ ที่ประชากรมีโอกาสสัมผัสเชื้อไวรัสโคโรนาในปริมาณมากและมีการติดเชื้อและมีการฉีดวัคซีนมาก จะมีการระบาดลดลงจนกลายเป็นโรคประจำถิ่น โดยหวังว่า จะมีการระบาดเป็นระยะหรือตามฤดูกาลแต่ก็ไม่รุนแรง นอกจากนี้ ยังคาดการณ์กันว่า วัคซีนซึ่งมีให้ฉีดในประเทศที่ร่ำรวยเป็นส่วนใหญ่ในปี 2564 จะสามารถเข้าถึงประชากรส่วนใหญ่ทั่วโลกได้ภายในสิ้นปีหน้า
แต่การระบาดอย่างรวดเร็วของสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งได้พบครั้งแรกเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนในแอฟริกาใต้ กำลังทำลายความหวังนั้น ขณะนี้เริ่มมีข้อมูลออกมาเรื่อย ๆ ว่า มันมีการกลายพันธุ์สูง สามารถแพร่เชื้อสู่คนได้ในอัตราที่สูงกว่าสายพันธุ์รุ่นก่อน ๆ และวัคซีนสองเข็มไม่ว่าของบริษัทอะไร ก็ดูเหมือนจะเอาไม่อยู่ ต้องฉีดกระตุ้นเข็มสาม ประสิทธิภาพในการป้องกันโอมิครอนจึงจะกลับมา ขณะเดียวกันก็มีรายงานการเสียชีวิตเพราะโอมิครอนเพิ่มอีก หลังจากอังกฤษเป็นชาติแรก โดยล่าสุดมีผู้เสียชีวิตรายแรกในสหรัฐฯ แล้ว
ในขณะนี้ หลายประเทศกำลังกลับไปใช้มาตรการควบคุมการระบาดที่เคยใช้ในก่อนหน้านี้ เช่น จำกัดการเดินทาง บังคับให้สวมหน้ากากอนามัยอีกครั้ง แนะนำไม่ให้มีการรวมกลุ่มกันมากในช่วงวันหยุดของฤดูหนาวปีนี้ และมีบางประเทศเช่น เนเธอร์แลนด์ ชิงประกาศล็อกดาวน์ก่อนคริสต์มาสเพียงไม่กี่วันไปเรียบร้อยแล้ว
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นประหนึ่งเป็น “ของขวัญคริสต์มาส” ที่ไม่มีใครอยากได้ และสร้างความผิดหวังอย่างคาดไม่ถึง
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ หลายคน กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์จะยังไม่กลับสู่จุดเดิมเหมือนเมื่อสองปีก่อน แต่หลายประเทศจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีน หรือ ต้องเจอความเสี่ยงที่จะมีการติดเชื้อจำนวนมาก จึงจะผ่านพ้นช่วงเลวร้ายที่สุดของการระบาดใหญ่ได้
นักไวรัสวิทยาคนหนึ่งในแคนาดา ถึงกับฟันธงว่า สถานการณ์โควิดในปีหน้าจะยังคงเหมือนปีนี้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกิ้นส์ บอกว่า ถึงแม้โควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นมากขึ้น แต่จะมีสายพันธุ์ใหม่ ๆ ระบาดและเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลอีกหลายปี
นักวิทยาศาสตร์บางคนถึงกับเลิกหวังโดยสิ้นเชิงว่า “บางส่วน” ของโลกจะพ้นจากการระบาดในปีหน้าและความหวังที่ตั้งไว้ในขณะนี้คือ ไวรัสโคโรนาจะลดลงจนถึงจุดที่มันไม่ทำลายชีวิตและเศรษฐกิจอีกต่อไป
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า เราจำเป็นต้องพร้อมที่จะปรับตัวเมื่อเกิดสายพันธุ์ต่อไป
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก มีคนติดเชื้อโควิดแล้วมากกว่า 270 ล้านคน และเสียชีวิตอย่างน้อย 5 ล้านคน และประมาณ 57% ของประชากรทั่วโลกได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม ซึ่งถือว่ามีศักยภาพในการป้องกันดีกว่าเมื่อสองปีก่อน
ถึงแม้ว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีน ยังป้องกันโอมิครอนได้ไม่ดี แต่นักระบาดวิทยาด้านโรคติดเชื้อของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกิ้นส์ ก็เชื่อว่า มันยังไม่ไร้ค่าเสียทีเดียวเพราะภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรงได้
แต่เนื่องจากยังมีคนจำนวนมากที่มีความเปราะบาง เพราะยังไม่ได้ฉีดวัคซีน จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อบางคนเชื่อว่า จะต้องใช้เวลาอีกระยะก่อนที่โลกจะก้าวพ้นจากการระบาดใหญ่จนกลายเป็นโรคโควิดประจำถิ่น
ขณะเดียวกัน มิคาเอล โดลสเตน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์ คาดการณ์ไว้ว่า บางภูมิภาคจะยังคงมีผู้ป่วยโควิดในระดับที่ยังถือเป็นการระบาดใหญ่ในปีหน้าหรือสองปีข้างหน้า และบางประเทศจะเปลี่ยนโควิดไปเป็น โรคเฉพาะถิ่นโดยมีผู้ติดเชื้อต่ำและสามารถจัดการได้ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกว่าที่โควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นทั่วโลก ก็คาดว่าจะปาเข้าไปถึงปี 2567 โน่นเลย
ความเห็นเหล่านี้ หมายถึงว่า ปีหน้า เรายังต้องประเมินความเสี่ยงในท้องถิ่นและต้องป้องกันตนเองด้วยการฉีดวัคซีน สวมหน้ากาก และการเว้นระยะห่างทางสังคมกันต่อไป และจะไม่มีการระบาดในประเทศหนึ่งประเทศใด แต่จะเป็นการระบาดในหลายประเทศและหลายภูมิภาคเช่นเดิม
แนวโน้มการใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่ในปีหน้า จึงไม่น่าจะดีดังที่หวัง และไม่น่าจะมีใครในภูมิภาคใด จะดีกว่ากันสักเท่าไหร่ ไม่ว่าใน อเมริกา ยุโรป หรือเอเชีย
สองปีที่ผ่านมา วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และการบริหารจัดการของรัฐบาลต่าง ๆ ไม่ได้ช่วยยุติโควิดได้ แต่กลับยิ่งช่วยให้ไวรัสพัฒนาและกลายพันธุ์ไปได้เรื่อย ๆ สงสัยต้องรอ “ปาฏิหาริย์” เท่านั้น จึงจะจบโรคร้ายนี้ได้
คำปลอบประโลมใจตัวเองเดิม ๆ ที่ว่า “ชีวิตไม่สิ้นต้องดิ้นกันไป” น่าจะช่วยเชียร์อัพ ให้ลุกขึ้นมาตั้งการ์ดฮึดสู้ เอาตัวเองให้รอดปลอดโควิดอีกสักตั้งได้ และมันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สามารถทำได้ในยามนี้