พาราสาวะถี
หลังจากที่ถูกโควิด-19 เล่นงานมาต่อเนื่องหลายเทศกาล รัฐบาลเองก็หวังว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในช่วงนี้ แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้ต้องคิดหนักกันจนได้
เข้าสู่โหมดของการเตรียมพร้อมพักผ่อนกันยาว ๆ บรรยากาศของการทำงานในแทบจะทุกภาคส่วนก็จะลดความเคร่งเครียดหรือคึกคักกันลงไป ไม่ว่าจะทั้งในส่วนราชการหรือภาคเอกชนต่างก็ใจจดใจจ่อรอคอยที่จะได้เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ที่ได้จองไว้ เดิมทีก็หมายมั่นกันไว้ว่าน่าจะได้ฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันให้ฉ่ำปอดกันเต็มที่ หลังจากที่ถูกโควิด-19 เล่นงานมาต่อเนื่องหลายเทศกาล รัฐบาลเองก็หวังว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในช่วงนี้ แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้ต้องคิดหนักกันจนได้
โควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดในเรื่องของความรุนแรงของเจ้าเชื้อไวรัสตัวนี้ แต่ที่ชัดเจนก็คือแพร่ระบาดได้เร็วกว่าเดลต้าที่ยึดครองโลกอยู่ในขณะนี้แน่นอน นั่นย่อมเป็นเครื่องหมายคำถามที่สำคัญไปยังผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะผู้ที่เกี่ยวข้อง ยังจะยืนยันให้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองกันตามที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้หรือไม่ หรือจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อกทม.
ล่าสุด กทม.ก็ได้ประกาศยกเลิกการจัดงานประเพณีวันขึ้นปีใหม่ และการสวดมนต์ข้ามปี 2565 ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ถึง 1 มกราคม 2565 ที่จะจัดขึ้น ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงของสำนักงานเขตและหน่วยงานเขตของกทม.ทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนภาคเอกชนที่ได้มีการเตรียมการไว้แล้ว ทางกทม.ไม่สามารถสั่งให้เลิกได้ แค่เพียงขอความร่วมมือให้ “งด” เท่านั้น ซึ่งถ้ายังมีการยืนยันที่จะจัดต่อก็คงต้องมีการกำหนดมาตรการและตรวจตรากันเข้มมากขึ้น
เหตุผลสำคัญที่ทำให้กทม.ต้องประกาศเช่นนี้ เนื่องจากทางองค์การอนามัยโลก ได้มีการเรียกร้องให้ยกเลิกวันหยุดบางส่วนเพื่อปกป้องสาธารณสุข เพราะโควิดสายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้าอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันสถานการณ์การแพร่ระบาดของทุกประเทศทั่วโลกก็พบว่ามีการติดเชื้อกันจำนวนมาก ไม่แตกต่างจากประเทศไทยที่พบว่ามีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่กระทรวงสาธารณสุขเองก็ยอมรับจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ปรากฏ
ดังนั้น ในช่วงเวลาทำการที่เหลืออีกไม่ถึงสัปดาห์จึงเป็นหน้าที่ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะผู้อำนวยการศบค.ต้องตัดสินใจว่า จะปล่อยให้มีการจัดกิจกรรม ดำเนินกิจการที่มีความเสี่ยงจากการรวมตัวกันของคนหมู่มากต่อไปหรือไม่ ต้องประเมินกันให้ขาดหลังช่วงการหยุดยาวไปแล้วที่ขอความร่วมมือหน่วยงานรัฐให้เจ้าหน้าที่ทำงานที่บ้านไปก่อน รวมทั้งภาคเอกชนขอให้มีการตรวจ ATK กับพนักงานก่อนเข้าทำงาน จะช่วยให้เบาใจกันได้หรือไม่
ในกระบวนการคิดและพิจารณาปัจจัยสำคัญคือโอมิครอนติดต่อง่ายแพร่กระจายได้เร็ว ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสก็มีโอกาสติดได้ เพราะประสิทธิภาพของวัคซีนทุกชนิดลดต่ำลงเมื่อเจอกับสายพันธุ์โอมิครอน นั่นย่อมหมายความว่า แม้จะมีการฉีดวัคซีนไปจำนวนมากแล้วโดยที่ภาครัฐหวังผลว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อการเดินทางท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ นั่นเป็นฐานความคิดในตอนที่ยังไม่มีโอมิครอน
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนก็ต้องกลับมาพิจารณากันอีกครั้งว่า ถ้าปล่อยผ่านแล้วไปรอวัดกันเอาหลังเทศกาล ตัวเลขของผู้ติดเชื้อจะกลับมาเท่ากับหรือมากกว่าการระบาดในระลอกของสายพันธุ์เดลต้าหรือไม่ ถ้ามองแนวโน้มแล้วน่าจะมากกว่าก็ไม่ควรเสี่ยง แม้จะอ้างว่าการติดเชื้อในจำนวนที่มากแต่อัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตจะไม่มากเหมือนกันเพราะประชาชนได้รับวัคซีนไปแล้วนั้น ต้องคิดกันให้ดี ถ้าปริมาณการติดเชื้อโดยรวมสูงมากก็จะทำให้สัดส่วนของผู้ป่วยหนักสูงตามไปด้วย
เมื่อไปถึงจุดนั้นมันก็จะวกกลับไปที่ระบบสาธารณสุขเหมือนที่เคยเกิดปัญหาในระลอกล่าสุดถึงขั้นที่ต้องมีการตั้งโรงพยาบาลบุษราคัมกันมาแล้ว อาจอ้างกันอีกว่าด้วยศักยภาพที่มีเชื่อว่าสามารถรับมือกับผู้ป่วยโควิดโอมิครอนได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่คนป่วยล้นโรงพยาบาลนั้น มันไม่ได้มีปัญหาเฉพาะผู้ป่วยโควิดเท่านั้น หากแต่ผู้ป่วยจากโรคอื่น ๆ ก็พลอยได้รับผลกระทบต่อคุณภาพและมาตรฐานการรักษาไปด้วย ซึ่งมีบทเรียนที่เพิ่งผ่านพ้นมาไม่นานนี้เอง
จุดนี้จะเป็นบทพิสูจน์ความสามารถในการตัดสินใจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่สำหรับประชาชนอย่างเราแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าจะมีการอนุญาตให้จัดกิจกรรมอะไรหรือไม่ก็ตาม มาตรการป้องกันส่วนบุคคลถือเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติกันโดยเคร่งครัด ทั้งการใส่หน้ากากทุกครั้งเวลาออกนอกบ้าน ล้างมือบ่อย ๆ การเว้นระยะห่าง สิ่งสำคัญคือการหลีกเลี่ยงเดินทางไปยังสถานที่ที่มีคนแออัด ส่วนมาตรการครอบจักรวาลที่รัฐบาลชูโรงถึงขนาดที่ว่าในบ้านก็ควรใส่หน้ากากนั้น ก็เอาที่แต่ละบ้านสบายใจแล้วกัน
การเมืองว่าด้วยเรื่องพรรคสืบทอดอำนาจหลัง สิระ เจนจาคะ หมดสิทธิที่จะโชว์ความกร่างจากตำแหน่งส.ส. ก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่เจ้าตัวจะต้องไปสะสางปัญหาสารพัดซึ่งตามมาจากผลการวินิจฉัย ส่วนที่จะพ่วงไปกับพรรคแกนนำรัฐบาลคือ หัวหน้าพรรคที่เซ็นรับรองคุณสมบัติในวันที่สมัครจะมีความผิดด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องที่กกต.จะต้องเป็นผู้วินิจฉัยและดำเนินการ งานนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยิ้มได้ เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง คนที่ต้องลุ้นคืออดีตหัวหน้าพรรคที่ชื่อว่า อุตตม สาวนายน
สำหรับประเด็นจะลากไปถึงการยุบพรรคหรือไม่นั้น อยู่ที่ว่าจะมีใครไปยื่นให้ตีความหรือไม่ ต้องไปดูบทลงโทษในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบด้วยว่า กรณีเช่นนี้มีขอบข่ายความผิดและใครบ้างที่จะต้องรับผิดชอบ ซึ่งตามข่าวที่เล็ดลอดมาจากพรรคสืบทอดอำนาจ ก็เริ่มมีบางคนบางพวกอยากจะให้เป็นเช่นนั้น เพราะจะถือเป็นจังหวะที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสามารถสลัดหลุดจากการถูกกดดันจากพรรคที่สนับสนุนตัวเองได้เสียที แต่กว่าจะถึงจุดนั้นคนในพรรคต่างกลัวกันว่าปัญหาความขัดแย้งที่มีไม่จบไม่สิ้นจะทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกันเสียก่อน